จากที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการสอนบทอาขยานหรือบทดอกสร้อยนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่การสอนให้ท่องจำเท่านั้น ครูผู้สอนจะต้องสอนให้ ท่องจำสู่การต้องทำด้วย เพราะการท่องจำโดยไม่รู้ความหมายหรือท่องจำอย่างเดียว ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน การเรียนจะต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างใความหมายต่อผู้เรียนจึงจะเกิดการเรียนรู้
ถามว่าแล้วจะให้เด็กๆ รู้อะไรบ้าง
คำถามนี้ท้าทายให้ค้นหาคำตอบมาก ให้พยายามเค้นความคิดด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นจะสอนเด็กเพ่ะตั้งใจไว้ว่า
คิดสิ่งที่จะสอน
จะสอนให้เด็กคิด
โดยจะสอนบทอาขยานหรือบทดอกสร้อย ในรูปแบบท่องจำสู่การต้องทำ ด้วยวิธีการดังนี้
1. ท่องจำ การท่องจำนั้นมีหลายระดับที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการคิด เช่น
1.1 จำเป็นต้องจำ คือจำแบบจำปากเพื่อนำไปตอบสอบคำกับครู และจำเพื่อฝึกสมองให้พัฒนาทั้งซีกซ้าย ซีกขวา เพราะการจำบทร้อยแก้วและร้อยกรอง ก็เป็นการพัฒนาสองได้ทางหนึ่งด้วย
1.2 จำจนขึ้นใจ การจำขั้นนี้เป็นการจำจากที่จำแบบนกแก้วนกขุนทองมาสู่การจำแบบสามารถรำลึกได้ คือ เมื่อต้องการจะนำไปใช้ก็รำลึกนึกมาได้ เพราะทุกอย่างอยู่ในหัวใจบันทึกไว้ในความทรงจำ สามารถนึกเรียงลำดับมาใช้ได้อย่างดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกในขั้นที่ 1 ว่าจำได้มากน้อยเพียงใด ถ้าจำได้ดี เรียงลำดับก่อนหลังได้ก็จะดึงไปใช้ได้ง่ายๆ เหมือนเราบรรจุโปรแกรมความจำไว้ในสมองนั่นเอง
1.3 จำแบบบท เป็นการจำเพื่อนำไปใช้ประกอบการเขียนบทร้อยกรองทำนองเสนาะได้ เพราะรูปแบบของฉันทลักษณ์แต่ละอย่างนั้นมีแบบครู ให้ดูได้เป็นแบบอย่าง เช่น จะเขียนโคลงก็นึกถึง
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับไหล ลืมตื่นฤๅพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
คำครูเหล่านี้จะช่วยให้นักเลงกลอนสอนเขียนสามารถนำมาใช้ได้ทุกครั้งในเวลาจะเขียน กวีต้นแบบได้ร้อยเรียงฉันทลักษณ์ไว้ให้เห็นเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว
1.4 จำบทร้อยถ้อยคำ บทกวีแต่ละบทนั้น กวีผู้รจนางานได้เพียรพยายามเรียงร้อยถ้อยคำนำมาเขียนให้ไพเราะสละสลวยเป็นแบบอย่างของการใช้ภาษา อีกทั้งได้สอดใส่อารมณ์ลงในถ้อยคำเหล่านั้น ทำให้เวลาอ่านจะเห็นภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ดังเช่น
ชะโดดุก กระดี่โดด สลาดโลด ยะหยอยหยอย
กระเพื่อมน้ำ กระพร่ำพรอย กระฉอกฉาน กระฉ่อนชล
อ่านแล้วเห็นภาพธรรมชาติ เห็นปลามาว่ายเวียนอยู่ข้างหน้า กระโดดไปมาให้ละอองน้ำโดนเรา ข้อความเหล่านี้ ถ้าเราจดจำแล้วนำมาฝึกเรียงร้อยให้เป็นถ้อยภาษาใหม่บ่อยๆ จะทำให้เราเขียนภาษาได้งดงามยิ่งขึ้น
2. ต้องทำ เมื่อเด็กๆ สามารถจดจำบทกวีได้ตามลำดับขั้นตอนดังที่เสนอไว้ในข้อ 1 แล้ว ครูสามารถพัฒนาเด็กให้เป็นผู้กระทำบ้าง เพราะการทำดีกว่าการจำแต่เพียงอย่างเดียว การทำที่มีลำดับขั้นตอนดังนี้คือ
2.1 ต้องทำการถอดแบบผังคำประพันธ์ ให้เห็น
- คำสัมผัสนอก สัมผัสใน
- คำสัมผัสระหว่างบท ระหว่างวรรค
- ลูกเล่นคำนำเขียนที่เสริมสร้างให้บทประพันธ์นั้นๆ อ่านแล้วให้อารมณ์อ่อนพริ้วหวิวไหวหรือโกรธเคืองไปตามถ้อยภาษาที่ร้อยเรียงไว้ จนเกิดความสะเทือนอารมณ์แก่ผู้อ่าน
2.2 ต้องทำการค้นหาความหมายของคำแต่ละคำ ที่นำมาเรียงร้อยให้เกิดเสียงไพเราะ แต่ถ้าเจาะลึกลงไปจะพบว่าคำแต่ละคำนั้น ซ่อนเร้นความหมายที่มีหลายนัย เป็นอวัจนสารให้ได้คิด นั่นคือ ฝึกเด็กให้รู้เท่าทันภาษา เพราะภาษาหรือคำแต่ละคำในบางคำมีความหมายแฝงไว้ เป็นหลุมพรางให้ผู้อ่านตกลงไปในถ้อยภาษาได้ ถ้ารู้ไม่เท่าทัน
แต่ถ้ารู้เท่าทันก็จะอ่านวรรณกรรมเหล่านั้นได้อรรถรสยิ่ง เช่น รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา เราต้องตีความหมายให้เห็นภาพแล้วจึงจะเข้าใจภาษา เพราะในภาษาซ่อนภาษาให้เราหาความหมาย
2.3 ต้องทำการวิเคราะห์เจาะใจผู้เขียนว่า
- ทำไมจึงต้องเขียนบทร้อยกรองบทนี้
- มีแรงบันดาลใจอย่างไร
เพราะคำถามเหล่านี้ทำให้ต้องเจาะลึกศึกษาที่มาที่ไปของวรรณกรรมที่อ่านเกลียวโยงกับประวัติศาสตร์เหตุการณ์บ้านเมือง ทำให้ผู้อ่านรู้รอบจะส่งผลให้รอบรู้ได้
2.4 ต้องวิเคราะห์เจาะลึกให้เห็นความสอดรับเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ คือ อดีต ปัจจุบันต่อถึงอนาคต แล้วผันสู่ความเชื่อมโยงถึงผู้อ่านว่า
- สิ่งนั้น (เรื่องที่เกิด) น่าจะมีผลกระทบต่อตนเอง ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ ต่อโลกได้อย่างไรบ้าง
- มีวิธีปฏิบัติอย่างไรที่จะไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าว (ถ้าเป็นเหตุการณ์ด้านลบ) เกิดซ้ำขึ้นได้อีก
จะเห็นได้ว่า ทั้งการจำและการทำ จะทำหรือสอนเพียงผ่านๆ ไม่ได้ เพราะทักษะจะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียนได้เมื่อได้ทำซ้ำๆ ซึ่งผู้เรียนจะต้องผ่านกระบวนการทำซ้ำในรูปแบบได้
ฝึกหัด
ฝึกฝน
ฝึกปรน
ฝึกปรือ
สี่ขั้นตอนนี้มีค่าต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพราะเป็นการผนึกกำลังทางความคิดให้เด็กๆ ผู้เรียนมีความชำนาญการเขียนขึ้นเรื่อยๆ จาก หัดเขียน เป็นนักเขียนได้ และเขียนเป็น
สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ก็สามารถนำมาประกอบการสอนกับบทเรียนดอกสร้อยหรือบทอาขยานได้ โดยครูตั้งประเด็นคำถามสร้างสถานการณ์ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์ว่า
- ประโยคหรือข้อความนี้มีความสอดคล้องพ้องรับกับข่าวเรื่องใด อย่างไร ทำไม
- คิดว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ในข่าวเกิดขึ้นต่อไปแล้วจะมีผลกระทบอย่างไร ทำไมจึงคิดอย่างนั้น
คำถามแค่นี้ นักเรียนจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาข่าวให้สอดคล้องกับข้อความในบทอาขยานนานพอดู
ผมเคยให้เด็กวิเคราะห์ข้อความในบทอาขยานตอน “...เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน” เด็กๆ จะต้องใช้เวลานานกว่า 20 นาที ในการวิเคราะห์ข่าวแล้วจึงลงมือตัดฉีกเนื้อข่าวจากหนังสือพิมพ์มาปะติดบนกระดาษ แล้วขยายความให้สอดรับกับเนื้อข่าวที่ต้องการ
การอ่านข้อความ นำมาวิเคราะห์หาสาระสำคัญว่าทิศทางที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ควรใช้ข่าวหรือภาษาใดประกอบการวิเคราะห์ข่าว ข้อความ และภาพข่าว เพื่อมาประกอบกับข้อความที่ต้องการให้สอดรับกัน อีกทั้งเด็กๆ จะต้องหาเหตุผลในการเลือกข่าวมาเขียนลงในชิ้นงาน รวมถึงการทำนายอนาคตและสถานการณ์ข้างหน้า และการคิดค้นหาหนทางป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ซ้ำซ้อน คือกระบวนการเรียนรู้ที่ครู้จะต้องสร้างให้เกิดขึ้นแก่เด็กๆ เพราะนี่คือทักษะชีวิตที่แท้จริงในโลกแห่งข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน ครูจำเป็นที่จะต้องสร้างลักษณะนิสัยการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีดุลยพินิจในการบริโภคข้อมูลข่าวสารให้มากๆ จนเกิดเป็นทักษะชีวิต ถ้าเด็กบังเกิดพฤติกรรมพินิจพิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารอย่างมีเหตุผล รู้จักบริโภคข้อมูลข่าวสาร รู้จักตั้สติรองรับข้อมูลข่าวสาร รู้จักระงับความอยาก ที่จะบริโภคสิ่งของตามโฆษณาในสื่อต่างๆ ไดแล้ว เด็กๆ จะมีชีวิตอยู่ในโลกไร้พรมแดนได้อย่างสงบสบาย นั่นคือ เด็กจะฉายภาพ เก่ง ดี มีสุข ให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
เขียนมาถึงตรงนี้ใคร่ที่จะสรุปว่า บทอาขยานควรสอนให้เด็กๆ ได้ ท่องจำ ต้องทำ เพราะมีคุณค่ามหาศาล ถ้าได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องจนฝังใจเป็นทักษะถาวรแก่ผู้เรียน
บทดอกสร้อยสุภาษิตคือ สร้อยมรกตอันล้ำค่า ถ้าครูรู้จักนำมาใช้สอน
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ https://drive.google.com/file/...
เป็นหนังสือของ มูลนิธิ สดศรี- สฤษดิ์วงศ์ครับ