เช้าวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2555
ครอบครัวของข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมงานบุญประเพณี "ทำบุญส่ง"
ศาลาแหลมท่าตะเคียน แม่เตรียมอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เตรียมใส่ปิ่นโต
ตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่ขันข้าว ไม่ลืมที่เอาจานเปล่าไปด้วย 3-4 ใบ
ไปถึงศาลาแหลมท่าตะเคียน จัดแจงหาที่นั่ง น้าษรเอาเสื่อปูรองนั่ง
แม่เอาปิ่นโตอาหารไปตั้งบริเวรกึ่งกลางแถวที่พระนั่งสวดมนต์
เดินกลับมาหยิบขันข้าวไปเข้าแถวตักข้าวสวยใส่บาตรที่กรรมการวัดนำมาตั้งไว้ให้ญาติที่มาทำบุญได้ตั้งจิตอธิฐาน
ก่อนตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่บาตร วันนี้มีพระสงฆ์จากวัดพลงช้างเผือก เกือบ
20 รูป สามเณรบวชเรียนภาคฤดูร้อน ร่วม 80 รูป มาสวดมนต์ที่ศาลา
ญาติโยมมาจนเต็มศาลาแหลมท่าตะเคียน
หลายๆครอบครัวพากันนั่งในเต้นท์ผ้าใบที่ทางกรรมการชุมชนพลงช้างเผือก
จัดเตรียมไว้ จนเต็มหมดทั้ง 4 เต้นท์
พระมหาชวน เจ้าอาวาสวัดพลงช้างเผือกนำสวดมนต์
สามเณรน้อยหลายรูปสวดมนต์ได้แล้ว สวดเสียงดังฟังชัด
จากนั้นญาติโยมก็น้อมใจกันประเคนอาหารหวานคาวแค่พระสงฆ์และสามเณร
ระหว่างที่ฉันภัตาหาร
กรรมการวัดก็กล่าวขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ฯ
เพื่อร่วมทำนุบำรุงศาสนา แล้วก็กล่าวเชิญ สจ.กนกวรรณ เบญจาทิกุล
สจ.เขตอำเภอแกลง พะปะพี่น้องประชาชน
ชี้แจงแถลงไขการเรื่องกิจกรรมงานพัฒนา งานเทศกาลผลไม้ของอำเภอแกลง
ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2555 ณ บริเวณจัดงาน
ถนนสายบ้านบึงแกลง กม.ที่ 99 นี้
จากนั้นท่านนายกสมชาย จริยเจริญ
นายกเทศมนตรีตำบลเมืองแกลง ซึ่งเดินสายร่วมงานทำบุญส่ง
ซึ่งจัดพร้อมๆกันหลายแห่ง ท่านเดินทางมาถึง พิธีกรได้กล่าวเชิญท่าน
ได้พูดคุยกับพี่น้องที่ร่วมทำบุญอย่างเป็นกันเอง
เล่าถึงความเป็นไปเป็นมาของศาลาแหลมท่าตะเคียนให้ลูกหลาน
ได้ทราบความเป็นมา ว่าจากเดิมศาลาแห่งนี้
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500
ศาลาริมน้ำที่สร้างอยู่ริมน้ำบ้านแหลมท่าตะเคียนทอง
หลังเดิมได้ถูกรื้อย้ายมายกใหม่ให้มีพื้นที่กว้างขึ้นกว่าหลังเดิม
เพื่อใช้เป็นศาลาท่าน้ำไว้ขึ้นลง ข้างของผลิตผลต่างๆ เช่น กะปิ น้ำปลา
ข้าว เป็นอาทิ ใช้เป็นที่พักชั่วคราวยามว่าง
และใช้เป็นที่ทำบุญในช่วงตรุษสงกรานต์เรื่อยมา
กาลต่อมา
ศาลาแหลมท่าตะเคียนหลังเดิมนี้ที่อยู่ในพื้นที่รอยต่อของชุมชนวัดพลงช้างเผือกและชุมชนบ้านหนองกระโดง
ประสบปัญหากระแสน้ำในคลองกัดเซาะริมตลิ่งเข้ามาเรื่อยๆ
ด้วยเป็นบริเวณช่วงเลยคุ้งน้ำที่รับกระแสน้ำ ซึ่งพุ่งมาตรงๆ พอดี
และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีความพยายามนำเอาเสาไฟฟ้าคอนกรีตมาตอกเป็นแนวไว้และยึดเป็นลานบนริมฝั่ง
แต่ก็ไม่อาจทานความแรงของกระแสน้ำจนฉุดเสาและพื้นคอนกรีตพังลงไปในคลองเป็นแถบ
ในปี พ.ศ. 2547
เมื่อเทศบาลตำบลเมืองแกลงเห็นว่าหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดผลจากปัญหาน้ำกัดเซาะลึกเข้ามาเรื่อยๆ
ผมจึงได้เข้าเจรจากับคณะกรรมการประจำศาลาแหลมท่าตะเคียนทอง
เพื่อขอให้ยกที่ดินบริเวณนั้น
รวมถึงที่ดินอันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแหลมท่าตะเคียนทองให้เป็นทรัพย์สินของเทศบาลแต่ในชั้นแรกเสียก่อน
เพื่อจะได้สามารถเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้อย่างเต็มที่และอีกหนทางหนึ่ง
ยังได้เล็งเห็นว่า บริเวณที่ดินผืนนี้
น่าจะยังสามารถขยายพื้่นที่ออกไปได้อีก
เพื่อให้เมืองมีพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชนเพิ่มขึ้นและชาวบ้านได้มีที่ทางไว้ใช้ร่วมกันต่อไป
เมื่อคณะกรรมการต่างเห้นพ้องกับแนวคิดและแนวทางดังกล่าว
หลังจากน้ันในเดือนเมษายน 2549 เทศบาลฯ
จึงได้เริ่มต้นโดยการก่อสร้างพนังกั้นน้ำตามมาตรฐานงานช่างความยาวตามแนวชายคลองประมาณ
30 เมตร สิ้นเงินไป 1,423,000
บาทในจุดที่เกิดปัญหาโดยด้านบนพนังได้ออกแบบทำเป็นลานเอนกประสงค์พร้อมปันไดท่าน้ำไว้กระทั้งบัดนี้
ต่อมา เมื่อคณะกรรมการศาลาฯ และชาวบ้านเมื่อเห็นว่าเทศบาล
ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยทำตามที่แจ้งไว้แต่คราวแรกแล้ว
จึงได้ช่วยกันเรี่ยไรรวบรวมเงินบริจาคไปจัดซื้อที่ดินบริเวณเดียวกันมาเพิ่มเติมให้เป็นทรัพย์สินของเทศบาลฯ
เพิ่มขึ้นอีกรวมเนื้อที่เดิมแล้วมีจำนวนสัก 2 ไร่ 1 งานเศษ
ต่อมาเทศบาลฯ โดยความเห็นชอบของสภาเทศบาลฯ
จึงได้อนุมัติงบประมาณจำนวนหนึ่งร่วม 2 ล้านบาท
เพื่อจัดซื้อที่ดินบริเวณติดต่อกับแปลงที่ดินสมทบเข้าไปอีกประมาณ 7
ไร่ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 รวมเป็นพื้นที่กว่า 9 ไร่ 1 งานเศษ
และเมื่อเดือนกันยายน 2551 ยังได้ให้งบประมาณอีกจำนวน 2,287,000
บาทไปถมดินปรับระดับพื้นที่
รวมถึงขุดสระน้ำไว้ลูกหนึ่งแล้ววางท่อระบายน้ำต่อออกไปถ่ายเทไปมากับระดับน้ำในคลอง
ให้เรียบร้อยสวยงามและใช้ประโยชน์ได้
กระทั้งในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2553 ต่อเนื่อง 2554
เทศบาลฯ โดยความเห็นชอบของสภาเทศบาลฯ ก็ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน
1,948,000 บาท ให้สร้างศาลาแหลมท่าตะเคียนทองหลังใหม่
เพื่อทดแทนศาลาหลังเดิมที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาและไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้คนจำนวนมากที่มาทำบุญในช่วงตรุษสงกรานต์
ทั้งนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไปออกแบบศาลาหลังใหม่โดยอาศัยเค้าโครงรูปร่างลักษณะ
สัดส่วนรายละเอียดต่างๆ ของศาลาหลังเดิมเป็นพื้น
แต่ให้มีพื้นที่ใช้ประโยชน์ในศาลาเพิ่มมากขึ้น
ส่วนศาลาหลังเดิมก็ได้รื้อถอนไม้ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เพื่อนำไปสมทบกับเรือนไม้เก่าจากบ้านปากน้ำประแสที่เทศบาลฯ
นำมาประกอบสร้างใหม่อีกครั้ง ณ ริมน้ำคลองประแส
บริเวณสนามกีฬาและสวนธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80 พระพรรษาของเทศบาลฯ
เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการปลูกเรือนของชาวเมืองแกลงแต่อดีต
ศาลาแหลมท่าตะเคียนทองหลังใหม่
มีรูปทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่า ยอดหลังคาจตุรมุข
ระดับความลาดเอียงของหลังคาเท่ากับระดับศาลาเดิม มีบันไดขึ้นลงได้ 3
ด้าน ภายในศาลารวมแล้วไม่น้อยกว่า 280 ตารางเมตร
ส่วนแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปประจำศาลา สนนราคา 40,000 บาท
และคันทวนติดเสาศาลาอีก ตัวละ 1,500 บาท จำนวน 20 ตัว เป็นเงิน 30,000
บาท ได้สร้างขึ้นจากการร่วมกันเรี่ยไรบริจาคเงินด้านหลังศาลา
ยังมีพื้นที่ดินที่เหลืออยู่ ด้านหลังมีสระน้ำ 1 ลูก
มีคอกเลี้ยงวัวและคอกสัตว์ต่างๆ ที่เทศบาลฯ
เลี้ยงไว้เพื่อกำจัดขยะอินทรีย์จำพวกผักผลไม้และเศษอาหารที่เกิดขึ้นในระบบเมืองอยู่ทุกวัน
นอกจากนี้ยังไม้กันพื้นที่ไว้ส่วนหนึ่งที่จะได้ร่วมกันปลูกต้นตะเคียนไว้ในวันพิธีเปิดศาลา
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2555 ในคราวเทศกาลงานบุญกลางบ้าน ปีที่ 9
ประจำปี 2555
เพื่อให้เป็นที่หมายแห่งที่มาของชื่อเรียกขานย่านดังกล่าว
พื้นที่ด้านหน้าอีกฝั่งถนนหนึ่งของศาลา เป็นที่ตั้งของโรงสีข้าวกล้อง
ตรา "ข้าวแกลง"
ที่ได้รับงบประมาณการก่อสร้างสนับสนุนมาจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
เพื่อเป็นอีกหนทางหนึ่งในมาตรการที่จะลดภาวะโลกร้อนโดยการลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่งข้าวจากต่างถิ่น
สร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นเมืองแห่งข้าวปลาอาหารของผู้คนชาวเมืองแกลงไว้สืบไป
ในเร็ววันนี้ ศาลาแหลมท่าตะเคียนทองแห่งนี้
จะเพิ่มเนื้อหาการใช้สอยตัวศาลาและที่ดินบริเวณที่เป็นทรัพย์สินของเทศบาลทั้งหมด
ให้เป็นประโยชน์สำหรับชาวเมืองแกลงให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากที่เคยใช้ในการทำบุญช่วงตรุษสงกรานต์
จะมีการปรับปรุงก่อสร้างถนนบริเวณนี้ใหม่
และต่อยาวย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือจรดริมคลอง
พร้อมกับก่อสร้างสะพานข้ามคลองประแสความยาวราว 54 เมตร
ไปเชื่อมกับพื้นที่อีกฟากคลองหนึ่งที่เป็นรอยต่อระหว่างชุมชนบ้านในยางและชุมชนบ้านแหลมยาง
เพื่อย่นระยะการเดินทางของผู้คนทั้งสองฟากคลองให้ไปมาถึงกันได้สะดวกยิ่งขึ้นและลดความแออัดของยานยนต์ในเขตตลาดสามย่านโดยเทศบาลฯ
โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากงบยุทธศาสตร์จังหวัดระยองครับ...
ฟังท่านนายกชี้แจงแถลงไขเสร็จสรรพ พระสงฆ์สวดมนต์ให้พร
ปะพรมน้ำพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ทำพิธีปล่อยเรือที่มีเสบียงอาหารใส่ลำเรือไปด้วย
แล้วพิธีกรกล่าวเรียกผีกลับลงเรือนกลับบ้านเก่า
หลังจากได้ปล่อยมาเยี่ยมญาติในช่วงตรุษสงกรานต์
พวกเรานำปิ่นโตมาล้อมวงกันข้าวด้วยกันในวงศาคณาญาติ
ช่างมีความสุขเสียจริง ปีใหม่ไทยปีนี้
ไม่มีความเห็น