ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคิดสนุกๆ ขึ้นมาเอง ... ว่า
ในการศึกษาของเด็กที่เริ่มตั้งแต่การฝึกฝนในเรื่องการอ่านออกเขียนได้ ตั้งแต่ภาคบังคับนั้น ทำไมเราไม่สอนเด็กๆ ให้ได้เรียนรู้ภาวนาเข้ามาในจิตในใจไปพร้อมๆ กัน ...
การดูจิตดูใจ...อ่านจิตอ่านใจ
ไปควบคู่กับการอ่าน ก กา ก ไก่
แบบฝึกปฏิบัติสำหรับหนูตัวน้อยๆ... ให้หมั่น อ่านอารมณ์ อ่านความคิด ความรู้สึก ...
เด็กที่ร้องไห้ คือ สภาวะการณ์ที่เด็กกำลังถูกคุกคามด้วยความทุกข์ที่บีบคั้น เช่น เด็กปวดท้อง ถ่ายอุจจาระ หิว เจ็บปวด ...การร้องไห้ออกมาของเด็กๆ คือ ความพยายามนำพาตนเองออกจากความทุกข์ที่บีบคั้นนั้น
ดังนั้นเมื่อเด็กเริ่มสู่การเรียนรู้และการสามารถสื่อสารได้นั้น เราน่าจะได้นำพาเด็กให้ฝึกฝนการอ่านจิต อ่านใจตนเอง
แล้วสะท้อนออกมา...พร้อมทั้งเพิ่มทักษะการฝึกใคร่ครวญ
เพราะเมื่อใด ที่เราสามารถอ่านจิตใจเราออก เราจะเกิดเป็นความเข้าใจในตนเอง และเมื่อใดที่เราสามารถเข้าใจในเราเมื่อนั้น เราจะสามารถเข้าใจผู้อื่น และเข้าใจโลกทั้งโลกได้
แล้ว...เส้นทางการเรียนรู้ ก็จะเป็นเส้นทางการเรียนรู้อย่างตื่นรู้และเบิกบาน พร้อมทั้งมีความหมายอย่างมากมายต่อชีวิตการเกิดและดำรงอยู่
...
๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
..ที่เห็น..ก็ได้เริ่ม...ฝึกหัดกันบ้างแล้ว..กับโรงเรียน..นอกระบบ..แต่..ในระบบ..ยังคงต้วมเตี้ยมกันอยู่..น้ะะ...(ยายธี)
ได้ข้อคิดค่ะ การฝึกระบบโรงเรียนจะทำได้เมื่อครูเห็นพ้อง เห็นดี เห็นงาน ได้วยกัน จึงจะเกิดประสิทธิผลนะคะ
เรียน อาจารย์ ที่เคารพครับ...ผมว่า น่าจะเป็นการจัดการศึกษาแนวใหม่มาก ๆ นะครับ...เพราะทำให้ผู้เรียนเข้าใจตนเอง...ผ่านการฝึกทบทวนในใจตนเอง...คิดเอง และทำเอง...ใช่ครับ...การศึกษาปัจจุบัน ทำให้เราศึกษาสิ่งนอกตัวเรามาก และบางอย่างแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตเลยครับ