เคล็ด (ไม่) ลับ
สิ่งที่ผู้สอนพึงสำเนียกอยู่เสมอว่า กรณีศึกษานั้นเป็นวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการหาความรู้ อย่าคิดว่ากรณีศึกษานั้นเป็นความรู้ทั้งหมด และต้องรำลึกต่อไปอีกว่า วิธีการหาความรู้นั้นมีความสำคัญเท่าๆ กับตัวความรู้ที่หามาได้ ขอเน้นย้ำว่าตัวความรู้ที่หามาได้ ไม่ใช่ความรู้ที่อยู่ในตำรา ถ้าถามว่าความรู้ทั้งสองนี้ต่างกันอย่างไร ต่างกันอย่างนี้ ความรู้ (Knowledge) นั้นเป็นความรู้ที่มีอยู่ในตำรายังไม่ได้นำออกมาใช้ แต่ความรู้ที่ผุ้เรียนนำวิธีการหาความรู้ไปหาแล้วได้ความรู้มานั้น เรียกว่า ปัญญา (Wisdom) ความรู้อย่างมีปัญญาประกอบนี้แหละ คือความรู้ที่โลกต้องการ เพราะความรู้อย่างนี้จะมี
- ตัวความรู้ที่ผู้ค้นหาเองรู้
- วิธีการค้นหาความรู้ที่ซ่อนอยู่ในความรู้ที่รู้
- ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการหาความรู้ซ่อนอยู่ด้วย
ความรู้ที่เป็นปัญญาของแต่ละคนนี้ จะเป็นความรู้ที่ยั่งยืนคงทนอยู่ในคนๆ นั้น แต่ทว่ามิใช่ความรู้ในตำราวิชาการไม่สำคัญ ความรู้ในหนังสือตำราวิชาการนั้นมีความสำคัญตรงที่เป็นแหล่งค้นคว้าแหล่งหนึ่ง เป็นแผนที่ที่ย่นระยะทางของการค้นหา แต่ถ้าความรู้นั้นอยู่ในตำรา จะเป็นความรู้แห้งๆ เราต้องนำมาใช้แล้วจะเกิดความรู้ต่อยอด คือจะมีทั้งวิธีการหาความรู้และมีวิธีการใช้ มีความรู้สึกนึกคิดของผู้รู้หรือผู้ใช้เข้าไปผสมอยู่และมีตัวความรู้ที่ต่อยอด ความรู้ตัวหลังจะไม่นิ่งจะต่อยอดออกไปเรื่อยๆ ถ้ามีการนำไปใช้
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า บุคคลผ฿แสวงหาต้องเปี่ยมด้วย
ปริยัติ คือ ตัวความรู้ที่มีอยู่เดิมในตำราในคัมภีร์ที่เปรียบ
เหมือนแผนที่นำทาง
ปฏิบัติ คือ การนำความรู้มาใช้
ปฏิเวธ คือ ผลของการปฏิบัติตามความรู้จนรู้แจ้งในเรื่อง
นั้น เรียกว่า ปัญญา
กรณีศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้กระบวนการหนึ่ง ที่จะนำพาผู้เรียนไปสู่ทางแห่งปัญญาเหมือนๆ กับ Story line และโครงงาน
ถ้าเรามองในด้านของอริยสัจสี่ ก็พอจะเห็นภาพได้ว่า
- ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องนั้นๆ ที่เรานำมาศึกษาเป็นรายกรณี นั่นคือ สมุทัย
- ผลที่เกิดจากปัญหาที่ศึกษา ซึ่งเรายังไม่รู้เรื่องในเรื่องนั้นๆ ทำให้เกิดวิตกกังวล อยากรู้อยากเห็น นั่นคือ ทุกข์
- การนำกรณีศึกษามาสืบค้นเรื่องราว คลี่คลายปัญหาให้รู้เรื่อง นั่นคือ มรรค
- ผลจากการนำกรณีศึกษามาคลี่คลายปัญหาจนรู้จริง รู้แจ้ง ในเรื่องนั้นๆ นั่นคือ พิโรธ
ถ้าจะมองให้ลึกลงควบคู่กับมองเห็นอริยสัจสี่ ในกระบวนการเรียนรู้กรณีศึกษาแล้ว ผู้สอนจะต้องรำลึกอยู่เสมอว่า นำกรณีศึกษามาสอนเพื่ออะไร แค่ไหน ให้ผู้เรียนรู้ลึกซึ้งเพียงใด เพราะระดับการรู้มีอยู่ 3 ระกับ คือ
- รู้จัก About รู้เรื่องกระบวนการเรียนรู้แบบ
กรณีศึกษา
- รู้จริง In รู้เรื่องลึกๆ ขนาดบอกได้ อธิบายได้
ทำให้ดูได้ และพอใจที่จะนำกรณีศึกษา
มาใช้สืบค้นหาความรู้
- รู้แจ้ง For สามารถเลือกประเด็นปัญหาที่ใคร่รู้มา
เรียนรู้ด้วยวิธีการกรณีศึกษาได้อย่าง
ถูกต้องและสัมฤทธิ์ผล อีกทั้งนำ
กรณีศึกษามาเผยแพร่แก่ผู้สนใจอยู่เสมอ
เพื่อความยั่งยืนของกรณีศึกษา
จะเห็นได้ถึงความลุ่มลึกของการเรียนรู้และตัวความรู้ ว่ามีระดับที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าผู้สอนตั้งใจที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กรณีศึกษาระดับใด กิจกรรมการเรียนรู้ก็จะเข้มและข้นขึ้นตามระดับนั้นๆ ถ้าหากผู้สอนเห็นความสำคัญของวิธีการเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้นั้น ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เอื้อต่อกรณีศึกษาบ่อยๆ ในต่างสถานการณ์ ต่างเรื่องราวที่จะเรียนรู้เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย สถานการณ์การเรียนรู้ที่จะสั่งสมประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียนนั้น จะต้องจัดให้ผู้เรียนผจญกับปัญหาที่ผู้เรียนต้องคิดวิเคราะห์บ่อยๆ แล้วนำผลมาสังเคราะห์สรุปเป็นองค์ความรู้ย่อย เมื่อจบบทเรียนองค์ความรู้ย่อยก็จะขยายเป็นองค์ความรู้ใหญ่ของสถานการณ์นั้นๆ ในขณะเดียวกันนั้น ตัวองค์ความรู้และวิธีการเรียนรู้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ต้องบอกได้ ประเมินผลได้ว่าบรรลุหรือสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ใด สาระการเรียนรู้ใด นี่คือการจัดการเรียนการสอนที่ไม่สูญเปล่า
ได้กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่า หัวใจของกรณีศึกษา อยู่ที่การวางแผนการเรียนรู้และการตั้งคำถาม ทั้ง 2 ประเด็นนี้ ผู้สอนจะต้องฝึกฝนให้เกิดขึ้นใจจิตวิญญาณของผู้เรียนให้จงได้
การตั้งคำถามมองดูว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ถ้ามองให้ลึกๆ แล้วจะเห็นว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ยังตั้งคำถามเชิงคิดวิเคราะห์ไม่เป็น ถามได้แต่คำถามที่ผู้ตอบตอบแบบรู้จำเท่านั้น เช่น
- หนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไร
- เราจะไปตรงนั้นได้อย่างไร
- เมื่อไรเขาจะมา
- มีอะไรบ้างในกล่องนั้น
คำถามเหล่านี้ ผู้ตอบจะต้องใช้ข้อเท็จจริงตอบ (ใคร ที่ไหน เมื่อไร เท่าไร) และบางคำถาม (อย่างไร อะไร) ผู้ตอบจะใช้ข้อเท็จจริงกับความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ตอบ แต่ถ้าต้องการให้ผู้เรียนสามารถใช้กลวิธีในการสืบค้นหาเรื่องราวที่ต้องการเรียนรู้ได้ ผู้เรียนจะต้องถามด้วยคำถาม “ทำไม” เพราะคำตอบที่ได้มานั้นผู้ตอบจะต้องคิดวิเคราะห์ แล้วตอบคำถาม ถ้าผู้เรียนตั้งคำถามแบบเจาะลึก เพื่อสืบค้นถึงสาเหตุถึงผลของเรื่องราวที่ผ่านมาจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ผู้ถามต้องพยายามกลั่นกรองคำถาม “ทำไม” ให้มากๆ
คำถามเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้แบบสืบค้นหาความจริงในสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้นผู้เรียนจะต้องฝึกฝนทักษะการตั้งคำถาม และตัวครูผู้สอนเองก็ต้องฝึกฝนทักษะกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามเป็น ด้วยการใช้ คำถามนำ ตรงนี้สำคัญมาก ผู้สอนจะต้องเข้าใจถึงวิธีการตั้งคำถามนำกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามเพื่อการสืบค้นเป็น อันนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ และการคิดสร้างสรรค์ ที่รัฐต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนในปัจจุบันนี้ นั่นหมายถึงว่า ทั้งผู้เรียนและผู้สอนรู้จักการตั้งคำถามเชิงคิดวิเคราะห์เป็น
การตั้งคำถามนั้น ถ้าผู้เรียนต้องการรู้เรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว ผู้เรียนจะต้องตั้งคำถามเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ จนได้ข้อมูลมากพอที่จะสู่การคิดวิเคราะห์ สรุปเป็นตัวคำตอบได้
การที่จะค้นหาสาเหตุของปัญหาใดๆ นั้นจะถามด้วยคำถามเพียงข้อสองข้อ ถามคนสองสามคน แล้วได้คำตอบมาสรุปนั้นจะได้คำตอบที่อาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริงได้ ดังนั้นคำถามแต่ละชุดที่ผู้เรียนเตรียมไว้จะต้องนำไปถามแหล่งความรู้หรือผู้ให้ข้อมูลมากคน ต่างวัย ต่างเพศ ต่างความคิด จะได้คำตอบหลากหลายคำตอบ หลากหลายแง่มุม แล้วนำมาสรุปเป็นข้อมูลความรู้ที่น่าเชื่อถือได้
อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume...
ได้อ่านทุกตอนที่เขียน อ่านไปก็คิดไป ชวนคิดได้ดีนะค่ะ ทำให้คิดย้อนไปถึงแนวปฏิบัติที่ผ่านมาของตัวเองเช่นกันค่ะ :-))
ขอบคุณครับ ผมเองแม้ไม่ได้เป็นผู้เขียน แต่ก็รู้สึกดีใจด้วยครับ ที่มีผู้ได้รับประโยชน์ครับ
แต่ละบทมีความกระจ่างชัดเจน และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง อ่านแล้วมีความสุขและมองเห็นแสงสว่างที่ใกล้เข้ามามากขึ้นค่ะ