"ทิม พิธา" เล่าไว้ในหน้า ๑๒ - ๑๓ เกี่ยวกับ "ระบบการศึกษาของญี่ปุ่น" ไว้ว่า ...
.....................................................................................................
จากการไปฝึกงานฤดูร้อนในญี่ปุ่นที่ผ่านมา ทำให้เห็นระบบการศึกษาของญี่ปุ่นต่างจากที่อื่นอย่างน่าตกใจ ผมเคยไปสัมภาษณ์ครูโรงเรียนอนุบาลกับครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งแล้วพอจะสรุปใจความได้ว่า ...
ในช่วงปฐมวัย ที่ญีุ่ปุ่นเน้น ความมีระเบียบวินัย อดทน การทำงานเป็นทีม และความอ่อนน้อมถ่อมตน มากกว่า เรื่องวิชาการ
วิชาวิทยาศาสตร์ หรือ ภาษาอังกฤษ เอาไว้ทีหลัง ต้องเอา "พื้นฐานชีวิต" ให้ได้ก่อน
ใครเคยไปญี่ปุ่นคงจะเคยสังเกตเห็นบ้านเมืองที่สะอาด ความมีระเบียบเรียบร้อย และความปลอดภัย ขณะเดียวกันเราจะไม่ค่อยได้ยินว่า เด็กญีุ่ปุ่นชนะเคมีโอลิมปิก คณิตศาสตร์โอลิมปิก ยิ่งภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง
ทั้งนี้เป็นเพราะนโยบายพัฒนาประเทศหลังสงครามโลก ที่ไม่ให้วัฒนธรรมต่างชาติเข้าครอบงำความเป็นญี่ปุ่น แม้จะเป็นอย่างนี้ แต่ญี่ปุ่นก็พัฒนาสินค้าให้ทันสมัย และมีอุตสาหกรรมแข็งแรงกว่าประเทศไทย
ถึงแม้ว่าตอนนี้ญี่ปุ่นจะแผ่วลงไปเมื่อเทียบกับจีนที่แซงหน้า แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ระบบการศึกษาที่ดีคืออะไร
ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ตอนนี้ข้อมูลกระจายไปทุกอณูอากาศ ผมคิดว่า แต่ละประเทศควรจะทบทวนระบบและคนที่อยู่ในโครงสร้างของตัวเอง
.....................................................................................................
ผมเห็นเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหน้าบ้าน ซื้อคอมพิวเตอร์ ต่ออินเทอร์เน็ต ให้ลูกวัย ๓ ขวบ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ เกมออนไลน์ที่พ่อแม่ป้อนให้ ผมสันนิษฐานว่า พ่อแม่คงอยากให้ลูกมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ จึงป้อนทักษะเช่นนี้ให้ไป จนลืมนึกเอะใจว่า หากลูกเสพติดเกม พ่อแม่จะทำอย่างไรต่อไป และสิ่งที่ปลูกฝังนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องใช่หรือไม่
ทั้ง ๆ ที่เด็กระดับปฐมวัยการป้อนสิ่งที่ถูกต้องตามพัฒนาการของเขาจริง ๆ คือ การเล่น ที่เราเคยได้ยินคำว่า Play and Learn หยิบจับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของเขาต่างหาก
แน่นอน ... เราอาจจะฝึกให้ของเราเก่งวิชาการเืพื่อจะได้แข่งขันชนะลูกคนอื่นได้ในอนาคต จะได้อยู่โรงเรียนที่ดี ๆ ดัง ๆ แต่เราลืม "พื้นฐานชีวิต" ที่เด็กวัยนี้เขาควรได้หรือเปล่า
ลองไตร่ตรองดูสักรอบไหมครับ
สิ่งที่ "ทิม พิธา" นำมาเสนอส่วนหนึ่งนี้ ผมว่า มันทำให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเอง หากเราเป็นพ่อแม่ เราสอนลูกอย่างไร หากเราเป็นครู เราสอนลูกศิษย์ของเราอย่างไร ระบบของกระทรวง ศธ. บ้านเรา คิดจากข้างบนมา ถูกต้องจริงหรือ
ก็แค่ฝากคิด
บุญรักษา นะครับ ;)...
.....................................................................................................
ขอบคุณหนังสือดี ๆ
ทิม พิธา. ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน. กรุงเทพฯ : Springbooks, ๒๕๕๕.
เห็นด้วยกับหนังสือที่อาจารย์บอกครับ เอาภาพมายืนยันด้วยว่าเขาฝึกกันจริงๆโดยเฉพาะเรื่องการทำงานเป็นทีมครับ
สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากการดำเนินชีวิตของญี่ปุ่นทุกด้านคือ ความภูมิใจในตนเองและเข้าใจตนเอง การพัฒนาจึงอยู่บนฐานของตนเอง ไม่ใช่ไปมองเห็นว่าสิ่งที่ฝรั่งทำดีวิเศษไปหมด ฝรั่งก็ดีสำหรับบริบทฝรั่ง ญี่ปุ่นก็ต้องมีดีแบบญี่ปุ่น แล้วไทยล่ะจะเอาดีแบบไหน เห็นกำลังหลงๆไปกันใหญ่
การสร้างพื้นฐานชีวิตเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องมีรากเหง้าของเราเองนะคะ
ดีใจที่มีผู้ให้ความสำคัญ สนใจ เผยแพร่เรื่องอย่างนี้ให้ฉุกคิดกัน
ข้อ 14 ของผม ตามลิงค์ นี้ ก็เขียนไว้เช่นกัน (โดยที่ผมไม่เคยรู้เรื่องญี่ปุนเลยนะเนี่ย)
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/483689
คนไทยเราลอกฝรั่งมากเกินไปแล้วผมว่า หันมามองญีปุ่นบ้างก็ดี
ขอบคุณ "ภาพหลักฐาน" ครับ ท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ;)...
พี่นุช ยุวนุช ครับ ;)...
ก็มีอยู่ ๒ หลง ครับ
๑. หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ๆ คิดอะไรแทนคนอื่นได้
๒. หลงวัตถุ คิดว่า เทคโนโลยีบางอย่างจะทดแทนบางอย่างได้
เห็นด้วยกับพี่นุช เรื่อง "รากเหง้า" ความเป็นเราต้องเข้าใจกันก่อน
ยินดีและขอบคุณครับพี่ ;)...
เดี๋ยวตามไปสมทบครับ ท่าน คนถางทาง ;)...
ขอบคุณมากครับ
เรียน คุณมะเดื่อ ครับ ;)...
ตัวเลขผลสัมฤทธิ์ หมายถึง ความสำเร็จของตัวผู้นำเองครับ ความสำเร็จที่เสนอผู้บังคับบัญชาชั้นสูงว่า ทำตามนโยบายและทำสำเร็จตามที่ต้องการอีกด้วย โดยไม่สนใจใครมากไปกว่าตัวเอง
รั้งท้ายอาเซียน ใครว่าจะเป็นไปไม่ได้
ขอบคุณครับ ;)...
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ คุณ ครูวุฒิ ;)...
ขอบคุณมากครับ
ใช่คะ ทุกวันนี้ เราวิ่งตาม คำเก่งที่สุด จนลืมคำว่า ดี งาม
ภาพงามมากนะครับ ครูเอ ;)...
สบายดีบ่
เป็นไปได้หรือไม่ที่ความยากลำบาก หล่อหลอมวิวัฒนาการทางความคิดและระเบียบในสังคม .. ประเทศญี่ปุ่น ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง หากไม่มีการปรับตัว ระเบียบการอยู่ร่วมกันทางสังคม คงไม่สามารถมีประเทศอยู่รอดมาได้เป็นพันปี
ประเทศตะวันตก ทรัพยากรจำกัด ทำให้ต้องพยายามคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรม อุตสาหกรรม เพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
ประเทศไทย แต่เดิมมา ถือว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่บ่อยเท่า และทรัพยากรอุดม คงไม่อาจสรุปว่าคนไทยมี ศักยภาพ-capability ด้อยกว่า ญี่ปุ่น หรือ ตะวันตก ขณะเดียวกันก็ไม่อาจ "หลงชาติ" จนไม่เปิดใจเรียนรู้ชาติอื่นๆ นอกจากที่ อ.wasawat ว่า "หลงตัวเอง" "หลงวัตถุ" นะค่ะ
เรียน คุณหมอบางเวลา ป. ;)...
มีวิชาหนึ่งที่คุณ "ทิม พิธา" ได้เรียนใน Harward
Why are so many countries poor, volatle and unequal?
วิชานี้พยายามตอบคำถามโลกแตกว่า ทำไมโลกนี้จึงจน ปรวนแปร และไม่เท่าเทียมกัน อาจารย์ริคาร์โด เฮ้าส์มันน์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของฮาร์วาร์ดพยายามใช้หลักเศรษฐศาสตร์ สถิติ สังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา และภูมิศาสตร์เป็นตัวอธิบายว่า เหตุใดประเทศในทวีปแอฟริกาและเอเชียใต้จึงจน อาจารย์ผู้สอนนำแผนที่โลกมากางแล้วใช้ปากกาขีด ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่เรียกว่า Tropical Countries นั้น ในแง่มนุษยศาสตร์ถือว่า อากาศดี ผู้คนขี้เล่น อาหารอุดมสมบูรณ์แบบในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จึงไม่มีใครอดตาย ชอบร้องรำทำเพลง และดื่มเหล้าทั้งวัน ต่างจากประเทศที่อยู่เหนือจัดหรือได้จัดที่ต้องปากกัดตีนถีบ สู้กับอากาศที่หนาวเหน็บและสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต แต่พวกเขาก็สามารถเอาชนะธรรมชาติจนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจได้ ประเทศที่เข้าข่ายนี้ ได้แก่ อเมริกา รัสเซีย และประเทศในยุโรปกลาง เป็นต้น
ตรงกับการวิเคราะห์ของคุณหมอนะครับ ;)...
ส่วนการ "หลงชาติ" นั้น ตามประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมีประเทศที่ปิดประเทศมากมาย และขาดการพัฒนาการไประยะหนึ่ง แต่พอเปิดประเทศแล้วก็ใช้วิธีการอื่นมากีดกั้นสิ่งที่ชาติไม่ต้องการ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน
มีอีกครับ "หลงระบอบการปกครอง" ไม่เปิดใจรับ ประชาชนยังลำบากอยู่มาก เช่น เกาหลีเหนือ ;)...
ยาวไปหน่อยไหมเนี่ย ;)...