องค์ความรู้ ที่ถ่ายทอดทางความคิด มาจากเดิมบิดาและมารดา ของเขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั้งคู่
เมื่อวันที่ ๗-๘ เมษายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ผมตั้งใจขึ้นไป เยี่ยมคุณแม่ของผมที่แก่ชรา ซึ่งท่านไม่ค่อยสบายคือป่วยเป็นโรคชรา เพราะว่าท่านพึ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาเมื่อไม่กี่วันนี้ ช่วงที่ท่านรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลลานนา จังหวัดเชียงใหม่ผมก็ได้ลางานขอไปดูแลท่านอยู่ระยะหนึ่งแล้ว ขณะนี้อาการป่วยของท่านได้ดีขึ้นแล้ว ปัจจุบันท่านคุณแม่ผมมีอายุ ๙๑ ปีแล้ว ผมดีใจมากที่คุณแม่แข็งแรงขึ้น และยังทานอาหารเองได้ทุกวัน
ช่วงระยะเวลา ๒ วันอยู่ ที่บ้านโฮ่ง จ. ลำพูน ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับคุณนิมาน วรรณวงศ์ ซึ่งมีการศึกษาจบ คณะฟิสิกส์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาหลายปี ประกอบกับรักอาชีพด้านการเกษตรจึงหันไปเลือกประกอบอาชีพด้านการเกษตร โดยปัจจุบันทำการเกษตรทางเลือก คือ กิจกรรมที่๑ ปลูกลำไย เพื่อการค้า กิจกรรมที่๒ ปลูกมะม่วงเพื่อการค้า กิจกรรมที่๓ เลี้ยงผึ้งพันธุ์ลูกผสมเพื่อจำหน่ายน้ำผึ้ง ทั้ง ๓ กิจกรรมดังกล่าวซึ่งฐานองค์ความรู้ ที่ถ่ายทอดทางความคิด มาจากเดิมบิดาและมารดา ของเขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั้งคู่( ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว) แต่เดิมเลือกทำกิจกรรมทางการเกษตรเป็นอาชีพเสริมของการเป็นอาจารย์ของคุณพ่อและคุณแม่ของเขา
ถังบรรจุน้ำผึ้งที่ปั่นได้จากเกสร/น้ำหวานจากดอกลำไยเตรียมไปจำหน่ายณ.โรงงานที่รับซื้อ
ต้นลำไยที่เก็บผลผลิตแล้ว
ความรู้จากเรื่องเล่า เท่าที่ผมได้รับฟังจากประสบการณ์ตรงของคุณนิมาน วรรณวงศ์ ได้เล่าว่า สถานการณ์ผลิต ที่บ้านโฮ่งในปัจจุบัน ฐานความรู้ในการผลิตทางการเกษตรของชาวสวนลำไย ในปัจจุบันนี้มีความสำคัญมากเลยทีเดียว ชาวสวนลำไยที่มีการทำการผลิตลำไยออกนอกดฤดูกาลในระยะเริ่มแรกก็หลายปี ทำให้เกษตรกรชาวสวนมีรายได้ที่ดีที่อยู่ได้ แต่ระยะต่อมาในปัจจุบัน ที่มีการผลิตตามกระแสก็ว่าได้ ที่มีการผลิตที่ติดต่อกันมาหลายช่วงระยะเวลาของการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็มีเกษตรกรชาวสวนลำไยบางรายได้ลงทุนในการซื้อปัจจัยในผลิตเป็นการลงทุนที่สูงเกินไป ได้แก่ปุ๋ยเคมี สารเคมี และฮอร์โมนต่างๆ แล้วไปเอามาจากร้านค้าเคมีเกษตรมาก่อนแล้วค่อยส่งเงินคืนตอนนี่ได้จำหน่ายผลผลิตไปแล้ว ในฤดูการผลิตที่ผ่านมานี้ จะไปไม่ค่อยรอด หลายรายเลยทีเดียว คำตอบก็คือขาดทุนอย่างยับเยินที่ ไปเอาปัจจัยการผลิตของเขามาใช้ก่อนแล้วส่งจ่ายทีหลังนั่นเอง
แต่ในขณะเดียวกันในการผลิตของฟาร์มของตนเอง(สวนของคุณนิมานเอง) มีหลักคิดอยู่ว่า เราจะต้องทำการศึกษาการผลิตความต้องการอาหาร ที่เราจะเสริมให้แก่ต้นพืช ควรจะมีหลักคือ การผลิตที่ไม่ใช้ปัจจัยการผลิตเช่นปุ๋ยและยาเคมีที่เกินความจำเป็น ต้องใช้ อยู่ให้พอเหมาะพอดีกับความต้องการของพืชโดยการสังเกตจากประสบการณ์ที่เคยทำมาติดต่อกันหลายปี(ไม่ใช้ตามกระแสที่โฆษณา)ในขณะเดียวกันก็ต้องให้สอดคล้องกับเงินทุนที่เรามีอยู่ ต้องใช้อย่างจำกัดไม่เกินความจำเป็นที่ทุนมีอยู่(เราจะไม่สร้างหนี้) นี่คือหลักคิดฃองคุณนิมาน ซึ่งทำให้รายได้ฟาร์มของเขาจึงอยู่ได้ ในปัจจุบัน
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งรายได้ของฟาร์มในฤดูการผลิตที่ผ่านมา นอกจากจะมีรายได้จากผลผลิตลำไย มะม่วง แล้ว กิจกรรมอีกประการหนึ่งการเลี้ยงผึ้งพันธุ์ผสม ในปีนี้ได้ปริมาณน้ำผึ้ง น้อยกว่าทุกปี เพราะมันมีสาเหตุมาจากผลผลิตคือดอกลำไยมีลักษณะช่อสั้น เกสรและมีปริมาณน้ำหวานที่น้อยเกินไป ทำให้การเลี้ยงผึ้งไม่ค่อยจะสมบูรณ์ ได้ปริมาณน้ำผึ้งที่ทำการปั่นออกมาน้อย ปัญหานี้ก็คงจะมีสาเหตุมาหลายปัจจัยที่สำคัญ เช่น ความสมบูรณ์ของต้นลำไยที่ต้นอายุมากเกินไป การดูแลการเพิ่มความสมบูรณ์คืนให้กับต้นลำไย มีน้อยการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ก็มีน้อยเช่นกัน เกษตรกรบางรายก็มีทุนที่น้อยการลงทุนด้านการดูแลต้นลำไยก็น้อยตามไปด้วยเช่นกัน ผลตามมาของการผลิตน้ำผึ้งก็คือ ขาดแหล่งน้ำหวานและเกสรที่มีอยู่ในท้องถิ่นและในชุมชนข้างเคียงนั่นเอง
ตันลำไยอายุประมาณ๔oปีแต่ทำแต่งเป็นสาว
บางรายยังมีการพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง ในขณะที่ช่อลำไยบาน ส่งผลกระทบให้ผึ้งที่ไปช่วยผสมเกสร หรือไปดูดน้ำหวาน ถูกสารเคมีก็ตายไปไม่ใช่น้อยเช่นกัน เกษตรกรบางรายยังขาดประสบการณ์และขาดความรู้ ในการป้องกันกำจัดไรผึ้งก็คือศัตรูของผึ้งนั่นเอง ซึ่งเขา ทำการป้องกันรักษาไม่ถูกต้อง หรือทำการป้องกันไม่ทัน ตายไปก็ไม่ใช่น้อยเช่นกัน
จากการสังเกตเชิงวิเคราะห์สถานการณ์การผลิตโดยประสบการณ์ตรง ในระดับท้องถิ่นอำเภอบ้านโฮ่ง ขณะนี้พบว่าบางรายได้ล้ม(ตัดทิ้ง)สวนลำไยที่ค่อนข้างมีอายุหลายปีเกินไป ทิ้งโดยมีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นๆแทน เช่นบางสวนหันไปเริ่มปลูกต้นมะม่วง บางรายหันกลับไปปลูกพืชผักเหมือน ๑0 – ๒0 ปีที่แล้วก็มี แต่ที่สำคัญ บางสวนไม่มีลูกหลานที่สืบอาชีพการเกษตรแทนพ่อแม่ ที่แก่เฒ่า จึงได้ประกาศขายสวนลำไยไปก็มีไม่ใช่น้อยเช่นกัน
คุณนิมาน วรรณวงศ์ เกษตรกรหนุ่ม ยังได้ให้ข้อคิดดีๆว่า ณ.วันนี้เราต้องเริ่มปลูกฝังความคิดด้านการพัฒนาอาชีพการเกษตรให้มีความสำคัญให้แก่คนรุ่นหลังๆ มิใช่พูดอย่างเดียวว่าเกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่อาชีพด้านเกษตรโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยจริงๆจะไปไม่ค่อยรอดคือ ณ.สถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาการเกษตรควรทำกันอย่างจริงจังและจริงใจต่อกันทุกภาคส่วน เกษตรกรชาวสวนถึงจะไปรอด ครับ..
เขียวมรกต
๙ เมย.๕๕