จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๗


จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๗

 

 

 

จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๗ : ตอนชีวิตที่แตกต่าง

 

             ชีวิตของแม่ในช่วงนี้ เรียกว่า "แม่ใช้ชีวิตในช่วงปลายแล้วก็ว่าได้" เพราะเข้าสู่วัยที่เหลือจากการเกษียณอายุราชการอีก ประมาณ ๑๐ ปีข้างหน้านี้...แม่ได้เรียนรู้จากการพัฒนาตนเอง จากประสบการณ์ชีวิตของแม่เองมานานพอสมควร...แต่ก็ทำให้แม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของมนุษย์มากพอที่จะทำให้บางครั้ง "ปลง" กับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้...จะไม่คาดหวังอะไรให้มากจนเกินไปนัก และจะพยายามลด ละ เลิก เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาซึ่งการกระตุ้นต่อมกิเลส...

 

(ผืนนา ๕๐ ไร่)

 

            ทำให้แม่เห็นเส้นทางในการดำเนินชีวิตของลูกทั้งสองแจ่มชัดขึ้น...สำหรับพี่ภัคร ในวิถีชีวิตของลูกมองเห็นเส้นทางในการดำเนินชีวิตอยู่ในแวดวงวิชาการอย่างชัดเจนขึ้นทุกขณะ หนูใช้ชีวิตอยู่ใน กทม. ได้ดีมาก แม่ไม่เป็นห่วง อาจเป็นเพราะหนูโตขึ้นมากสำหรับการเป็นผู้ใหญ่ ความคิด + ความอ่าน หนูทำได้ดีมาก มีความคิดแบบคิดวิเคราะห์ ซึ่งแม่ต้องการเห็นในจุดนี้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่แม่พบเห็น จะไม่ค่อยมีคิดวิเคราะห์ที่ถูกต้องมากนัก...(อาจเนื่องมาจากสภาพแวดล้อม + สภาพครอบครัว ฯลฯ ที่เกิดมาแตกต่างกัน)...

             สำหรับน้องเพรียง ตั้งแต่ แต่งงานแล้ว และเมื่อมีเจ้าฟ้าครามเกิดขึ้นมาแล้ว ดูน้องเพรียงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก มีความรับผิดชอบมากขึ้น เหมือนกับน้องเพรียงพอใจ + ลงตัวกับการใช้ชีวิตสำหรับการเป็นเกษตรกรเต็มตัว...ดูน้องเพรียงจะมีความสุขแล้วในปัจจุบันนี้ สำหรับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้...ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เพราะน้องต้องการเพียงแค่ความสุข ณ ปัจจุบันเท่านั้นเอง ไม่คิดเห่อเหิม ทะเยอทะยาน อยากได้ใคร่ดีกับสิ่งอื่น ๆ เหมือนกับน้องเพรียงค้นพบความจริงของตัวเองแล้วว่า...สิ่งที่น้องต้องการ คือ สิ่งใด...และปัจจุบันนี้ก็ได้พบเจอแล้ว...

 

 (พี่ภัคร)

 

              แม่ว่า...การใช้ชีวิตกับการได้ศึกษา หาความรู้ เป็นเรื่องที่ดีและก็ควรนำวิชา ความรู้ที่ได้รับนั้นมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันให้ได้ด้วย...มิใช่สักแต่ว่า "เรียน" แล้วไม่นำมาปรับใช้กับชีวิตของตัวเรา...ควรแยกแยะหรือคิดวิเคราะห์ให้ได้ว่า "สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี สิ่งใดทำให้สังคมเป็นสุข สิ่งใดที่ทำให้สังคมไม่เป็นสุข ฯลฯ"...

               ดูเหมือนว่าลูกสองคนของแม่ มีชีวิตที่แตกต่างกันเสียจริง ๆ คนหนึ่ง "เป็นนักวิชาการ" อีกคนหนึ่ง "ไม่ฝักใฝ่กับวิชาการ แต่ขอเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง มีความคิดเป็นของตนเองในการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง + มีความสุข"...ทำให้แม่เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ชีวิตของลูกทั้งสอง...

 

 (น้องเพรียง + น้องอ้อม)

 

           สิ่งที่แม่เป็นห่วงในตอนแรก แม่เป็นห่วงน้องเพรียงมาก ๆ เพราะน้องขอยึดอาชีพ "เกษตรกร" ซึ่งในสังคมไทยเรายังไม่ค่อยยอมรับกับความรู้ของคนกลุ่มนี้...แต่นับจากที่น้องเพรียงได้ผันผวนชีวิตของตัวเองไปเป็นเกษตรกรเต็มตัว...ทำให้แม่ได้เห็นความคิดของน้องว่า "หนูไปไกลเกินกว่าความคิดของแม่เสียจริง ๆ"...น้องมีความคิดในการวิเคราะห์ได้อย่างมาก อาจเป็นเพราะว่าน้องใช้ชีวิตเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเองเป็นหลัก...สำหรับการมีอาชีพเป็นเกษตรกรครั้งนี้ น้องเพรียงทำนาได้ เกือบ ๒๕ เกวียน ถ้าขายได้ราคาเกวียนละ ๑๐,๗๐๐ บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายไปแล้ว น้องก็ยังเหลือเงินใช้ประมาณ เกือบ ๒ แสนบาท...

            การทำนาครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่ครั้งแรก ยังมีครั้งที่ ๒ อีก และก็ยังได้ค่าตอบแทนสำหรับการใช้ผืนนาเป็นแก้มลิงที่ใช้รับน้ำอีก ๑ ครั้งต่อปี (ซึ่งรัฐจะจ่ายค่าตอบแทนให้ไร่ละ ๗,๐๐๐ บาท) ซึ่งนาน้องเพรียงมี ๕๐ ไร่ น้องคิดเบ็ดเสร็จแล้วพร้อมกับให้ค่าเช่านาแก่พ่อเรด้วย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายกับตาที่เลี้ยงดูตัวเองไม่ได้...ทำให้น้องเพรียงเห็นถึง "รายได้" ที่ตนเองจะได้รับในแต่ละปี...น้องภูมิใจมาก ๆ กับแรงงานที่ตนเองได้ทำบนผืนนาของตัวเอง...เป็นรายได้ที่น้องได้รับ โดยไม่ต้องไปแข่งขันในการทำงานกับคนอื่น...

              น้องเพรียง ยังมีความคิดที่จะซื้อรถอีแต๋น (เพื่อใช้บรรทุกข้าว และรถเกี่ยวข้าวไว้เอง)...รถอีแต๋นก็ประมาณ ๒ แสนบาท ส่วนรถเกี่ยวข้าวราคาประมาณ ๒ ล้านบาท...เพราะน้องบอกว่า กว่าจะตกลงให้เขามาเกี่ยวข้าวของเราได้ ก็ลีลาเสียเหลือเกิน...แม่เลยบอกว่า "ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป...หนูก็สามารถทำได้ ถ้าค่อย ๆ เก็บเงินไว้ แล้วก็ไปซื้อสดเลย"...คนเราจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น อยู่ที่การวางแผนและการใช้เงินว่าสมควรหรือไม่...

 

(แม่บุษ)

 

             ซึ่งแต่ก่อน แม่ก็ไม่ค่อยได้คิดนักกับเรื่องแบบนี้ แต่พอมาตอนนี้ เมื่อน้องเพรียงบอกให้แม่ฟัง...แม่ก็ได้แต่ยิ้มรับว่า "น้องเพรียงมีวิถีชีวิตที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้และนำพาครอบครัวให้สามารถเดินต่อไปได้"...ช่างเป็นชีวิตที่แตกต่างกันเสียจริง ๆ ระหว่างพี่ภัคร + น้องเพรียง ที่เกิดมาจากท้องแม่ด้วยกันทั้งคู่...แต่แตกต่างกันสำหรับการดำเนินชีวิต...

 

 (น้องฟ้าคราม)

 

            ทำให้แม่และพ่อเรรู้ว่า นี่แหล่ะ...ที่บ้านเราไม่ขายที่ดิน เราจึงมีที่นาให้น้องเพรียงทำมาหากิน เพราะแถว ๆ บ้าน ส่วนมากจะขายที่นาไปหมดเพื่อส่งลูกให้ได้เรียนสูง ๆ แต่เมื่อแม่เข้ามาอยู่ในที่สูง ๆ ทำให้แม่เห็นถึงความแตกต่างกันในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนอย่างมาก เพราะแม่ทำงานฝ่ายบุคคล แม่จึงรู้ แม่จึงเห็น เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมมนุษย์ เรียกว่า "อย่างมากก็ว่าได้"...

              แต่แม่ก็ได้แต่รับทราบ + ปรับปรุง แล้วนำประสบการณ์ที่แม่ได้รับนั้น มาปรับใช้กับครอบครัวของเรา เพื่อทำให้ครอบครัวของเราอยู่รอดได้...สิ่งหนึ่งที่แม่อยากบอกลูก ๆ นั่นคือ...ในอนาคตข้างหน้าถ้าหนูมีโอกาสกัน ควรหาซื้อที่ดินเข้าไว้ เพราะการมีที่ดินทำให้เรามีสถานะที่มั่นคงกว่าสิ่งอื่นใด...ราคาก็มีแต่จะสูงขึ้น ไม่มีตก (ดูได้จากที่พ่อเรซื้อที่ดินไว้เมื่อ ๒๐ ปี ที่แล้วเพียง ๑๗๐,๐๐๐ บาท ตอนนี้ราคาก็ประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว...ทำให้เห็นว่าราคาที่ดินขึ้นมามากเสียจริง ๆ)...

                ส่วนเรื่องทองคำ แม่ไม่เห็นด้วยกับการที่ซื้อเพื่อมากักตุน เพราะอย่างไรแม่ก็ว่า เราเสียเปรียบพ่อค้าคนกลางอยู่วันยังค่ำ...เพราะตอนรับซื้อคืน เขาจะกดราคาจากเรา เนื่องจากทราบว่าเราเดือดร้อน สู้ซื้อที่ดินไม่ได้ และพ่อเรก็เห็นด้วยกับความคิดของแม่...สำหรับเรื่องอื่น ๆ พ่อเร + แม่ ได้จัดเตรียมไว้ให้กับลูกทั้งสองหมดแล้ว ไม่ว่าบ้าน + ที่ดิน เพราะพ่อเร + แม่ มีการ Plan (วางแผนชีวิต) ไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่าทำอย่างไรที่จะทำตัวให้เป็นหลักสำหรับลูก ๆ ได้ ส่วนอื่น ๆ เจ้าก็หาเพิ่มเติมก็แล้วกัน...และหนูก็ควรเก็บสิ่งดี ๆ จาก พ่อเร + แม่ เพื่อไปทำกับลูก ๆ หลาน ๆ ของหนูด้วยก็แล้วกัน...เพราะที่พ่อเร + แม่ทำให้...นี่คือ "หน้าที่ที่ของการเกิดมาเป็นพ่อ - แม่ของคนนั่นเอง"...

              สำหรับที่นา เมื่อมีแล้วก็อย่าได้ขาย จงเก็บเป็นมรดกหรือสมบัติไว้ให้กับลูกหลานสืบต่อกันไป...เพราะการคิดขายที่ดิน จะทำให้เป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดี เมื่อมีก็ควรเก็บรักษาไว้ให้กับลูก ๆ หลาน ๆ...และก็ไม่ควรมีความความคิดที่จะนำไปจำนอง จำนำกับใครด้วย เพราะมันจะไม่เกิดผลดีต่อตัวเรา...

 

 (น้องฟ้าคราม)

 

             การใช้ชีวิตของลูกสองคนตอนนี้ดูเหมือนทำให้แม่เห็นถึงความแตกต่างของเจ้าสองคนเสียจริง ๆ...คนหนึ่งเป็นนักวิชาการ แต่อีกคนไม่ใช่วิชาการ...แต่สามารถนำประสบการณ์ชีวิตมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของตนเองได้...

  

อ่านจดหมายถึงลูก ได้จากที่นี่

"จดหมายถึงลูก"

 

หมายเลขบันทึก: 484098เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2012 12:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2013 15:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

มาดูความน่ารักของฟ้าคราม และมาเชียร์ครอบครัวพี่ครับ

  • ขอบคุณค่ะ ดร.ขจิต Ico48
  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจด้วยค่ะ
  • เจ้าฟ้าคราม ช่วงนี้หน้าเป็นมากเลยค่ะ ชอบกรี๊ดเสียง ชอบเต้น เมื่อได้ยินเสียงเพลงค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจค่ะ คุณถาวร Ico24

สวัสดีค่ะคุณบุษ

  • คิดถึงจึงมาหาค่ะ
  • สบายดีนะคะ
  • สวัสดีค่ะ คุณยาย Ico48
  • คิดถึงเช่นกันค่ะ
  • สบายดีค่ะ คุณยายคงสบายดีนะคะ
  • นำรูปเจ้าฟ้าครามมาฝากด้วยค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจจากทุกท่านค่ะ 
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท