เรื่องของการบริหารค่าจ้างเงินเดือนนั้น จะว่าเป็นเรื่องง่าย
มันก็ง่าย แต่ถ้าจะว่าเป็นเรื่องยาก มันก็ยากจริงๆ ฝ่ายบุคคลในหลายๆ
บริษัทต่างก็ต้องปวดสมองกับเรื่องราวของการบริหารค่าจ้างเงินเดือนของพนักงานในหลายๆ
รูปแบบที่แตกต่างกันออกไป นอกจากฝ่ายบุคคลแล้ว ตัวนายจ้าง
หรือผู้บริหารระดับสูงเองก็ต้องให้ความใส่ใจในเรื่องนี้ด้วย
ไม่ใช่ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม
จากนั้นก็มาบ่นว่าทำไมพนักงานถึงไม่ยอมทำงาน
หรือทำงานแบบขอไปที
ประเด็นความยากของการบริหารค่าจ้างเงินเดือนที่ได้เคยประสบมาจากองค์กรต่างๆ
ก็มีดังนี้ครับ
-
ไม่มีการกำหนดนโยบายในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนอย่างเป็นรูปธรรม พอไม่มีนโยบายผลก็คือ
ต่างคนต่างก็บริหารกันเอง ไปกันคนละทิศคนละทาง ผู้บริหารว่าอย่างหนึ่ง
ผู้จัดการว่าอีกอย่างหนึ่ง และแต่ละคนก็คิดกันไปคนและแบบ
สิ่งที่เคยเห็นก็คือ ผู้จัดการตามฝ่ายงานต่างๆ
มีสิทธิในการกำหนดเงินเดือนให้กับพนักงานกันเองโดยไม่สนใจว่า
ฝ่ายอื่นจะจ้างกันเท่าไหร่ หรืออย่างไร ผลก็คือ
พนักงานในองค์กรได้รับค่าจ้างเงินเดือนแบบมั่วไปหมด
อยากจ้างเท่าไหร่ก็จ้างกันเอง
-
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
อัตราเงินเดือนของบริษัทเรานั้นแข่งขันได้แล้ว นี่ก็เป็นความยากอีกอย่างหนึ่ง
เพราะส่วนใหญ่นายจ้างเองมักจะมองว่า เงินเดือนที่ให้นั้นมากพอแล้ว
และสามารถแข่งขันได้กับตลาด ส่วนลูกจ้างก็จะมองในทางตรงกันข้ามเสมอ
ก็คือ ค่าจ้างที่ได้รับอยู่นั้น น้อยเกินไป ต้องการได้มากขึ้น
แล้วจุดตรงกลางมันอยู่ตรงไหนกันแน่ วิธีแก้ไขปัญหานี้ก็คือ
เราจะต้องเข้าร่วมการสำรวจค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการ
หรือไม่ก็เป็นเจ้าภาพในการทำการสำรวจค่าจ้างฯ เองเลย
ซึ่งก็จะได้ข้อมูลมาเปรียบเทียบว่าการจ่ายของบริษัทเรานั้นอยู่ตรงไหนของตลาด
แข่งขันได้หรือไม่
-
เงินเดือนจูงใจพนักงานได้จริงๆ
หรือ นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันมากมายว่า
เงินเดือนสามารถที่จะจูงใจพนักงานให้สร้างผลงานได้ดีขึ้นจริงๆ หรือ
เพราะผู้จัดการหลายคนมักจะให้เหตุผลว่าที่พนักงานไม่ยอมทำงาน
หรือขี้เกียจทำงานนั้นก็เพราะเงินเดือนเขาน้อยเกินไป
แต่ก็มีอีกหลายองค์กรที่จ่ายเงินเดือนในระดับสูงมากๆ
แต่พนักงานก็ยังคงทำงานแบบเช้าชามเย็นชามกันต่อไป แค่นั้นไม่พอ
พนักงานก็ยังคงมองว่าเงินเดือนที่เขาได้นั้นยังคงน้อยเกินไปอยู่ดี
-
โบนัสควรจะให้เท่ากัน
หรือต่างกันตามผลงานดี นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่หลายๆ
องค์กรประสบปัญหา องค์กรที่ให้โบนัสพนักงานเท่ากันหมดทุกคน
ก็จะมีพนักงานบางกลุ่มที่มองว่าไม่เป็นธรรม
เพราะบางคนสร้างผลงานได้ดีกว่าบางคน
ดังนั้นควรจะให้โบนัสที่แตกต่างกันตามผลงานจะดีกว่า
แต่ในบางองค์กรที่ให้โบนัสพนักงานแตกต่างกันไปตามผลงานของแต่ละคน
ก็มีพนักงานบางคนที่มองว่าไม่เป็นธรรมอีกเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่า
พนักงานก็ทำงานอยู่ในองค์กรเดียวกัน
ช่วยกันทำให้องค์กรประสบความสำเร็จเหมือนกัน
แต่ทำไมกลับได้โบนัสไม่เท่ากัน
-
มุมมองที่ต่างกันเรื่องการขึ้นเงินเดือน พนักงานอยากได้เงินเดือนขึ้นแต่ละปีเยอะๆ
ขอให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้
แต่นายจ้างมองว่าเงินเดือนเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ดังนั้นไม่ควรขึ้นเยอะๆ เพราะจะเป็นภาระของบริษัทในระยะยาว
-
เงินเดือนควรจะขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่มีวันหยุดหรือ
ควรมีการชนเพดาน เรื่องนี้ในหลายๆ
บริษัทก็มีปัญกหาเงินเดือนพนักงานบางคนขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันหยุด
ก็เลยทำให้พนักงานบางตำแหน่งงานที่มีค่างานในระดับต้นๆ
กลับมีเงินเดือนสูงกว่าพนักงานบางคนที่ดำรงตำแหน่งในค่างานที่สูงกว่า
เช่น พนักงานขับรถได้รับเงินเดือนสูงกว่าวิศวกรอาวุโส เป็นต้น
บางองค์กรก็บอกว่า
เราควรจะต้องมีการหยุดการขึ้นเงินเดือนเมื่อเงินเดือนพนักงานสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว
ซึ่งโดยทั่วไปก็คือ
สูงถึงเพดานเงินเดือนในโครงสร้างเงินเดือนนั่นเอง
ประเด็นที่ผมยกมาข้างต้นนั้น พอพิจารณากันดีๆ แล้ว
มันก็ไม่มีถูกไม่มีผิดเลยครับ การบริหารค่าจ้างเงินเดือนนั้น
ไม่มีอะไรที่ถูกเป๊ะๆ หรือผิดไปเลยหรอกครับ
สิ่งที่จำเป็นจะต้องสร้างให้ได้ในองค์กรก็คือ
ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องของการบริหารค่าตอบแทนในองค์กรระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากมุมมองที่แตกต่างกัน
และไม่มีการสื่อสารกันอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่มาที่ไป
ประเด็นที่สำคัญก็คือ
การสื่อความในเรื่องหลักการของการบริหารค่าตอบแทนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เช่น เราจ่ายเงินเดือนบนพื้นฐานของอะไร โบนัส การขึ้นเงินเดือน ฯลฯ
เราจะให้ในเงื่อนไขของอะไรบ้าง นโยบายเหล่านี้จะต้องชัดเจนมากๆ
ผมว่ามันหมดยุคสมัยแล้วครับ
ที่เรื่องของนโยบายและระบบการบริหารเงินเดือนจะถูกเก็บเป็นความลับที่ไม่มีใครได้รู้เลย
(ย้ำนะครับ เรื่องของระบบและนโยบาย ไม่ใช่เรื่องของตัวเลขเงินเดือน)
ความโปร่งใส
และสามารถอธิบายได้นั้นจะทำให้เรื่องของการบริหารค่าจ้างเงินเดือนง่ายขึ้นเยอะครับ