การที่จะสอนให้ผู้เรียนเกิดความรู้แท้ได้นั้น ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียน เห็น และรู้ซึ้งถึง วิธีการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเข้าถึงวิธีการเรียนรู้ของตนแล้ว ผู้เรียนย่อมจะนำวิธีการเรียนรู้นั้นมาใช้ได้ นอกจากนี้ผู้เรียนจะต้องตอบตนเองได้ว่า เรียนไปทำไม เพราะทุกครั้งที่เรียนผู้เรียนจะต้องเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายคนที่มีเป้าหมายในการเดินทางย่อมจะไม่เดินออกนอกเส้นทางฉันใดการเรียนรู้ก็เป็นฉันนั้น
เมื่อผู้เรียนรู้ตนเองว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” และผู้เรียนสามารถเข้าถึงวิธีการเรียนของตนเองได้แล้ว สิ่งที่ครูผู้สอนควรจะฝึกผู้เรียนต่อไปก็คือวิธีการคิด เพื่อให้ผู้เรียน คิดเป็น
การคิดเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ผู้เรียนทุกคนพึงเกิด ความถนัดด้านนี้ เพราะปัจจุบันนี้ สถานการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมืองของเรา มีความสับสนวุ่นวายกันมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับข่าวสารต่าง ๆ หลาย ๆ ข่าวที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่สาระของข่าวต่างกัน ๆ จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะเชื่อข่าวใด ตรงนี้เองที่การคิดจะเข้ามามีบทบาท คนที่รู้จักคิด รู้วิธีคิด คิดเป็นจะได้เปรียบในการแยกแยะ วิเคราะห์ข้อมูล หาความน่าเชื่อถือและความเป็นไปได้ของข้อมูลแล้วมาสรุปเป็นความรู้เฉพาะตน ส่งผลให้ไม่หลงเชื่อตามข่าวที่มี ไม่ตกเป็นทาสของข่าวนั้น ๆ
ชาตรี สำราญ
นำเสนอวิธีสอนการคิดแบบ
บทเรียนที่ไม่ตาย
เรื่องเล่าต่อไปนี้ เป็นการเล่าถึงวิธีการสอนของครูคนหนึ่ง ซึ่งหลงใหลต่อวิธีสอนที่นำเสนอในเล่มนี้ ด้วยความที่เชื่อว่า การเรียนรู้ที่แท้จริงนั้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ส่วนความรู้สำเร็จรูปที่ครูเป็นผู้บอกให้นั้น ผู้เรียนจะมีโอกาสรู้ได้น้อยมาก ผู้เรียนแค่จำข้อความที่ครูบอกนำไปทำข้อสอบตอบแล้วก็ลืมหมดไปในที่สุด เพราะสิ่งที่จำได้จากการบอกเล่าของครูนั้นไม่ใช่ความรู้แท้ ไม่ใช่ความรู้ที่ค่อยๆผุดพรายขึ้นมาจากบึ้งจิตของผู้เรียนเอง ความรู้แท้นี้ผู้เรียนจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับตัวผู้เรียนเองได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้
ลองสังเกตความรู้ที่ฝังใจ เรานั้นเวลาที่เรามีปัญหา เราจะสามารถดึง ตัวรู้ ตัวนั้นออกมาแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้ ไม่ต้องเสียเวลานึกนาน พอเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะรำลึกถึงตัวรู้ที่ตนรู้ นำมาแก้ปัญหาได้ นี่คือความรู้แท้ นี่คือความรู้ที่ติดตัวผู้เรียนจึงจะมีอยู่ในตัวผู้เรียนคนนั้นๆ ตลอดไป ความรู้อย่างนี้ ผู้เรียนจะค่อยๆ สั่งสมไว้ที่ละนิดๆ ได้ข้อมูล ครั้งหนึ่ง พินิจพิจารณาจนรู้ครั้งหนึ่ง มีข้อมูลเพิ่มขึ้นเต็มที่ ตัวรู้ก็จะเต็มที่ ความเต็มที่ของการรู้นี่แหละคือความรู้ (Knowledge ) ที่เราต้องการ ความรู้ตัวนี้แหละที่เราสามารถดึงออกมาใช้งานได้อย่างปัจจุบันทันด่วน เพราะเป็นความรู้ที่กลืนตัวเรา เป็นความรู้ที่เป็นตัวเราได้แล้ว เรียกว่ารู้จริงในเรื่องนั้นๆ สามารถนำมาใช้ได้จริง ๆ การที่สามารถนำใช้ได้จริง ๆ เรียกว่า รู้แจ้ง จึงสามารถนำมาแสดงให้คนอื่นเห็นได้ว่า เรารู้เรื่องใดบ้าง รู้แค่ไหน เช่น ช่างซ่อมรถยนต์ ฟังเสียงเครื่องยนต์ก็รู้จุดที่ควรแก้ไขลงมือซ่อมจนสามารถแก้ไขเครื่องยนต์ได้อย่างแท้จริง และเป็นความสามารถแท้ของช่างซ่อมรถยนต์คนนี้ ช่างเขียนภาพเหมือน พอมีหุ่นมาให้ ก็สามารถเขียนภาพได้เหมือนหุ่น อย่างนี้เรียกว่า มีความรู้แท้ในเรื่องการเขียนภาพเหมือนและเป็นความสามารถแท้ของช่างเขียนภาพคนนั้นความรู้แบบนี้เป็นความรู้ ฝ่ายทางโลก
ตัวความรู้แท้และความสามารถแท้นี้แหละที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนทุกคน เพราะผู้เรียนสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงของการเรียนรู้ได้ ขอยกตัวอย่างของผู้ปฎิบัติธรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถแท้มาเล่าสู่กันฟังบ้าง
ผู้ปฎิบัติธรรมที่สามารถปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงแก่นธรรม ผู้ซึ่งถึงพระไตรลักษณ์ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เกิดขึ้นในจิตของผู้ปฎิบัติธรรมผู้นั้นอย่างแท้จริง ธรรมนั้นย่อมคุ้มครองผู้นั้นได้ เช่น เรามีแจกันโบราณ เรารักเราหวง แต่วันหนึ่ง แจกันนั้นเกิดหล่นแตกละเอียด จิตลึกของเราก็จะผุดพรายออกมาว่า “ มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นรูปได้ก็แตกสลายได้” ความรู้สึกลึกๆนี้จะทำลายความรักความหวงความเสียดายไปหมดสิ้น มีแต่ความเฉยเข้าแทนที่ในจิต เพราะจิตดวงนั้นเข้าถึงธรรม จิตดวงนั้นเห็นความจริงตามความเป็นจริง ว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา สรรพสิ่งทั้งหลายย่อมดับไปได้เป็นธรรมดา” นั่นคือธรรมะที่มีอยู่ในจิตผุดพรายขึ้นมาสอนจิต ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ของสิ่งนั้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีอาการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ธรรมนี้ไม่ใช่พูดแต่ปาก หากจิตผุดพรายธรรมนี้ขึ้นมาด้วยตัวของจิตเอง เมื่อจิตรู้ จิตตื่น จิตเห็นความไม่เที่ยงของสิ่งนั้น ความเสียดาย ความเศร้าโศกเสียใจย่อมหมดไปจากจิต เมื่อจิตไม่เกิด ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นๆ จิตจะไม่ทุกข์ การที่จิตไม่ทุกข์เพราะว่าจิตเข้าถึงธรรม นี่คือความรู้แท้ของผู้ปฎิบัติธรรมนั้นและเป็นความสามารถแท้เฉพาะตนเช่นกันความรู้อย่างนี้แหละที่เรียกว่า “ปัญญา” ซึ่งเป็นความรู้ที่แท้จริง ความรู้แบบนี้เป็นความรู้ฝ่ายทางธรรม
การที่จะสอนให้ผู้เรียนเกิดความรู้แท้ได้นั้น ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียน เห็น และรู้ซึ้งถึง วิธีการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเข้าถึงวิธีการเรียนรู้ของตนแล้ว ผู้เรียนย่อมจะนำวิธีการเรียนรู้นั้นมาใช้ได้ นอกจากนี้ผู้เรียนจะต้องตอบตนเองได้ว่า เรียนไปทำไม เพราะทุกครั้งที่เรียนผู้เรียนจะต้องเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายคนที่มีเป้าหมายในการเดินทางย่อมจะไม่เดินออกนอกเส้นทางฉันใดการเรียนรู้ก็เป็นฉันนั้น
เมื่อผู้เรียนรู้ตนเองว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” และผู้เรียนสามารถเข้าถึงวิธีการเรียนของตนเองได้แล้ว สิ่งที่ครูผู้สอนควรจะฝึกผู้เรียนต่อไปก็คือวิธีการคิด เพื่อให้ผู้เรียน คิดเป็น
การคิดเป็นคุณลักษณะสำคัญที่ผู้เรียนทุกคนพึงเกิด ความถนัดด้านนี้ เพราะปัจจุบันนี้ สถานการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมืองของเรา มีความสับสนวุ่นวายกันมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับข่าวสารต่าง ๆ หลาย ๆ ข่าวที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่สาระของข่าวต่างกัน ๆ จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะเชื่อข่าวใด ตรงนี้เองที่การคิดจะเข้ามามีบทบาท คนที่รู้จักคิด รู้วิธีคิด คิดเป็นจะได้เปรียบในการแยกแยะ วิเคราะห์ข้อมูล หาความน่าเชื่อถือและความเป็นไปได้ของข้อมูลแล้วมาสรุปเป็นความรู้เฉพาะตน ส่งผลให้ไม่หลงเชื่อตามข่าวที่มี ไม่ตกเป็นทาสของข่าวนั้น ๆ
บ้านเมืองมีความสับสนวุ่นวายมากเท่าไร การคิดจะมีคุณค่าต่อผู้คนมากขึ้นเท่านั้น
เทคนิคการคิดเป็นเทคนิคที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เพราะวิธีการคิดพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงกล่าวได้ว่า กลวิธีการคิดเป็นบทเรียนที่ไม่ตาย
การสอนให้ผู้เรียนคิดเป็นนั้นฟังดูน่าจะง่าย แต่พอนำใช้สอนจริงก็พบภาพหลากหลายที่น่าสนใจเรียนรู้ เช่น ผู้เรียนบางคนแสดงอาการง่วงนอน ผู้สอนอย่าเพิ่งท้อถอย อย่าเพิ่งคิดว่าบทเรียนของเราไม่ดี กิจกรรมการเรียนไม่สนุก ไม่เร้าใจ ผู้เรียนจึงเบื่อหน่าย แต่ในความเป็นจริงนั้น คนที่ไม่ค่อยคิด หรือไม่เคยคิดเป็นระบบ พอให้คิดจะเกิดอาการดังกล่าวข้างต้น นั่นหมายถึงว่า ครูผู้สอนต้องทบทวนย้อนกลับไปถึงการจัดกิจกรรมก่อน ๆ ที่ผ่านมาของตนว่า เคยฝึกให้ผู้เรียนคิดบ้างไหม สอนให้เชื่อกับให้จำบ่อย ๆ ใช่ไหม ผลการสอนจึงมาปรากฏในตอนนี้ เรียกว่า มารับกรรม
เมื่อรู้ว่า ไม่ค่อยได้ฝึกฝนให้ผู้เรียนคิด ก็กลับมาฝึกคิดให้ผู้เรียนได้คิด ยังไม่สายเกินไป เริ่มต้นวันนี้แหละดีที่สุด
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น