14. จะเขียนกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไร
ในตอนที่ 13 ผมได้กล่าวว่า “ถามตนเองก่อนสอน” การถามตนเองก่อนที่จะทำอะไรนั้น เป็นการปลุกสติและสัมปชัญญะของเราให้ฟื้นคืนคงอยู่ในจิตสำนึกของเราตลอดเวลา คุณครูผู้สอน เด็ก ๆ ด้วย สติและสัมปชัญญะนั้นจะสามารถพัฒนาพฤติกรรมการสอนของตนให้เข้มข้นขึ้นเสมอไป เพราะรู้ว่า ทำอะไร กำลังเป็นอย่างไร ควรจะทำสิ่งใดต่อ เราจะเห็นได้ว่า ครูนักพัฒนาที่แท้จริงจะเขียนแผนการเรียนรู้ล่วงหน้า เป็นการเตรียมการสอนและจะสอนตามแนวทางที่วางแผนไว้ ที่ผมกล่าวว่า จะสอนตามแนวทางที่วางไว้ นั่นหมายถึงว่า แผนการเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องที่เราคาดเดาว่า วันนั้นสถานการณ์อย่างนั้นน่าจะสอนอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาสอนจริง สถานการณ์นั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เราก็สามารถนำกิจกรรมเค้าโครงเดิมนั้นมาปรับใช้ได้กับสถานการณ์นั้น ๆ แม้ว่าจะไม่ตรงตามแผนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถดำเนินการไปได้ตามรอยเดียวกัน สื่อและเรื่องราวสอนก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน เหตุการณ์อย่างนี้ผมเคยพบผ่านมาบ่อย ๆ แต่ก็สามารถแก้สถานการณ์ได้ดี เพราะเราเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาแล้ว
การจัดทำแผนการเรียนรู้นั้น ถ้าถามผมว่า อะไรสำคัญมาก ผมขอตอบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญมาก ทำไมผมจึงคิดอย่างนี้ ก็เพราะว่าในการจัดกิจกรรมนั้น เราจะต้องจัดให้ผู้เรียนปฏิบัติการเรียนแล้วบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ได้เนื้อหาสาระตรงตามเป้าที่วางไว้ สามารถวัดและประเมินผลว่า ทุกเรื่องที่ผู้เรียนเรียนนั้นรู้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์และได้สาระการเรียนรู้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น เมื่อผู้เรียนเรียนแล้วจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตรงตามเป้าหมายที่รัฐวางไว้ เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ตรงตามคุณลักษณะที่รัฐพึงประสงค์ ตรงนี้สำคัญมาก ครูอย่าได้มองข้ามและเพิกเฉยสิ่งนี้ นั่นคือ คุณครูจะต้องกระทำการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเรียนรู้ บรรลุเป้าหมายที่รัฐพึงประสงค์อย่างแท้จริง
เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ผมอยากจะกล่าวสรุปว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ผู้จัดจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในแผนการเรียนรู้นั้นและต้องให้สนองคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของรัฐด้วย เช่น หลักสูตรการศึกษาพุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) รัฐต้องการให้คุณครูผู้สอนสร้างคำถามให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นหาคำตอบในรูปแบบของการฝึกคิดตาม ลงมือปฏิบัติ ออกแบบบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเอง แล้วก็ได้พัฒนาสู่กระบวนการเรียนรู้โดยกำหนดปัญหาปลายเปิด ( Open – ended problems ) ให้ผู้เรียนคิดวางแผน ออกแบบการทดลองและลงมือปฏิบัติศึกษา ค้นคว้า ตรวจสอบความคิดด้วยตนเองมากขึ้น แต่มาในระยะนี้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 นั้น “ได้พัฒนากระบวนการเรียนรู้ คือ กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ( Science and technology project ) ที่ผู้เรียนเป็นผู้ระบุปัญหาหรือคำถามตามความสนใจของตนเองหรือของกลุ่ม วางแผนหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาด้วยการสร้างทางเลือกที่หลากหลาย โดยใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้มา มีการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา ลงมือปฏิบัติและประเมินผลการแก้ปัญหาสรุปเป็นความรู้ใหม่” ซึ่งข้อความนี้ปรากฏชัดเจนอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ( 2544 ) เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ขอคุณครูอย่าได้คิดว่า “นี่เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์” เปล่าเลย นี่เป็นเรื่องของรัฐ ๆ ต้องการให้เยาวชนของชาติเป็นผู้รู้รักตั้งคำถามว่างแผนการเรียนรู้ที่หลากหลายไปค้นหาคำตอบมาสรุปเป็นความรู้ใหม่ของตน โดยการใช้กระบวนทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งพฤติกรรมพึงประสงค์นี้ ถูกระบุอยู่ในทุกสาระการเรียนรู้ ลองศึกษาวิเคราะห์ข้อความต่าง ๆ ให้ดี ก็จะพบข้อความหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์อย่างชัดเจน
ทีนี้ก็จะมีคำถามว่า แล้วกลุ่มสาระภาษาไทยจะให้นักเรียนตั้งคำถามอย่างไร เราต้องยึดหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ว่า “...ผู้เรียนเป็นผู้ระบุปัญหาหรือคำถามตามความสนใจของตนเองหรือของกลุ่ม” นั่นก็หมายความว่า ผู้เรียนจะเรียนเรื่องใด ผู้เรียนก็มีสิทธิ์ตั้งคำถาม หรือหารายละเอียดหรือประเด็นที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น เรื่อง คำ ผู้เรียนสามารถตั้งคำถามเพื่อหาสาระการเรียนรู้ได้ว่า
1. คำ คืออะไร เช่นอะไรบ้างที่เรียกว่า คำ
2. คำ สามารถจำแนกออกได้กี่ชนิด มีอะไรบ้าง
3. คำแต่ละชนิดมีความหมายอย่างไรบ้าง มีคำใดบ้างที่จัด
อยู่ในชนิดนั้น
4. ทำไมเราต้องแยกคำเหล่านั้นออกเป็นชนิดต่าง ๆ
5. คำเหล่านั้นนำใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง
6. ถ้าเราไม่นำคำเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ให้ตรงตามหน้าที่
ของคำแต่ละชนิดจะเกิดผลอย่างไรบ้าง
การตั้งคำถามอย่างนี้ ถามเพื่อที่จะเป็นประเด็นในการค้นหารายละเอียดของชนิดของคำอย่างเจาะลึก และเมื่อได้คำตอบมาแล้ว ผู้เรียนสามารถตั้งคำถามเพื่อสร้างประเด็นเรียนรู้ให้ลึกลงไปอีกได้ และตรงนี้เองครูจะสามารถประเมินผลได้ว่า ใครมีภูมิรู้ลึกกว่ากัน เพราะคำถามที่ตั้งขึ้นนั้นเป็นทางนำสู่การค้นหาคำตอบ ซึ่งจะเป็นความรู้ใหม่ของผู้เรียนเอง
อีกอย่างหนึ่งเมื่อผู้เรียนได้คำตอบมาเป็นสิ่งที่ผู้เรียนรู้แล้ว ครูต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งคำถามต่อไปว่า
7. แล้วเราจะนำคำเหล่านั้นไปใช้ได้กรณีใดบ้าง และจะใช้
อย่างไรบ้าง
ถ้าผู้เรียนตอบได้ แสดงหรืออธิบายวิธีการนำใช้ได้ยกตัวอย่างถูกต้อง แสดงว่าผู้เรียนรู้จริง คือรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นำใช้ในเวลาใด อย่างไร ที่สำคัญมาก การเรียนหลักภาษาต้องเรียนแบบไม่ใช่เรียนเพื่อตอบข้อสอบ แต่จะต้องเรียนเพื่อนำใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ เป็นการเรียนใช้ไม่ใช่เรียนจำ
แล้วคุณครูให้ผู้เรียนนำคำเหล่านั้นมาสร้างเรื่อง เขียนเป็นเรื่องสั้น เรื่องยาว บทละคร บทประพันธ์ หรือง่าย ๆ ก็คือ แต่งประโยค
มองดูคำถามทั้ง 7 ข้อ จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่จากประสบการณ์ของผมพบว่า ใหม่ ๆ ลูกศิษย์ของผมนั่งนิ่ง เงียบ เมื่อผมให้วางแผนการเรียนรู้เอง ตั้งคำถามเอง พวกเขาบอกผมว่า “ไม่รู้จะตั้งคำถามว่าอย่างไร” ผมต้องค่อย ๆ ชี้นำโดยการตั้งคำถามย่อย ๆ นำทางให้พวกเขาคิดค้นตั้งคำถามขึ้นมา และต้องใช้เวลานาน ต้องฝึกบ่อย ๆ เด็ก ๆ เหล่านั้นจึงจะสามารถตั้งคำถามเองได้ อดทนและเฝ้ารอ คือ คาถาที่ผมต้องท่องเป็นมนตราประจำในขณะเข้าห้องสอน
เมื่อเด็ก ๆ บอกผมว่า “อยากไปเรียนในป่าไม้ข้างโรงเรียน” ผมจะถามเขากลับไปว่า “จะเรียนเรื่องอะไร” เมื่อเด็ก ๆ ตอบผมจะเขียนแสดงให้เห็นช่องคำถาม คือ จะเรียนเรื่องอะไรกับช่องคำตอบที่พวกเขาตอบ เป็นการเริ่มต้นฝึกคิดค้นหาคำตอบและฝึก
การตั้งคำถาม คำถามที่ผมนำใช้ประจำ คือ
1. เราจะเรียนเรื่องอะไรบ้าง
2. เราจะเรียนเรื่องนั้นอย่างไร
3. เราจะมีวิธีการเรียนแบบใด
4. เราจะพิสูจน์คำตอบหรือผลการเรียนที่ได้มาว่าถูกต้องมาก-น้อย ด้วยวิธีการใด
ฝึกฝนจนเด็ก ๆ จำสูตรนี้ได้ พอเราหาเรื่องเรียนได้ คำถามทั้ง 4 ข้อนี้เด็ก ๆ ก็จะนำมาใช้ทันที แล้วผมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนคำถามแบบอื่นให้เหมาะสมกับเรื่องนั้น ๆ บ้าง ค่อย ๆฝึก จนกระทั่งเด็ก ๆ สามารถตั้งคำถามได้เอง นานแต่คุ้มค่า
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น