วัตถุประสงค์ที่ต้องมีกฎหมายระดับสหภาพหรือประชาคมมารองรับ
เพื่อรองรับตลาดแรงงานของสหภาพยุโรปอันเนื่องมาจากการเปิดเสรีในการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างรัฐสมาชิก ซึ่งการมีกฎหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้จะส่งเสริมให้การเปิดเสรีดังกล่าวสามารถ “เป็นไปได้จริง” เนื่องจากคนทำงานอาจมิได้ทำงานอยู่ในรัฐใดรัฐหนึ่งเพียงรัฐเดียว แต่อาจประกอบอาชีพในหลายประเทศ และงานที่ทำนั้นอาจมิใช่งานประจำ กล่าวคือมิได้มีสถานะเป็นลูกจ้างประจำ ซึ่งก็สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในรัฐที่ตนไปประกอบอาชีพการงานอยู่ได้เช่นกัน นอกจากนี้การเดินทางเพื่อมาหางานหรือมาปฏิบัติงานในรัฐสมาชิกอื่นอาจเป็นเหตุให้คนเหล่านี้ต้อง “สูญเสียสิทธิ” ซึ่งมีอยู่เดิมตามกม.ประกันสังคมในรัฐของตน จึงต้องประกันว่าจะได้รับการดูแลรักษาพยาบาล รวมถึงได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลคืนหรือค่ายาคืนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ในสัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้สังเกตว่ามิใช่การรักษาพยาบาลโดยปราศจากค่าใช้จ่าย แต่เป็นกรณีของ Copayment หมายความว่าคนทำงานดังกล่าวมีความสามารถที่จะชำระค่ารักษาพยาบาลได้บางส่วน และได้ซื้อประกันสุขภาพไว้แล้วตั้งแต่ต้น
ด้วยเหตุนี้กม.สหภาพจึงต้องให้ความคุ้มครองแก่บุคคลเหล่านี้ในฐานะ “พลเมืองของสหภาพ” ซึ่งจะต้องได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมกันและอย่างทั่วถึง โดยนำหลักเรื่อง Anti-discrimination มาใช้ประกอบ ซึ่งหลักนี้เองทำให้สหภาพยุโรปขยายสิทธิในการประกันสังคมให้ครอบคลุมถึงแรงงานอพยพ คนไร้รัฐไร้สัญชาติและครอบครัว
................................................................................................
ตัวบทกฎหมายหลักที่รองรับสิทธิในเรื่องประกันสังคม
๑. สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมยุโรป หรือปัจจุบันเป็นสหภาพยุโรป Treaty on the Functioning of the EU – สังเกตว่าหัวข้อการประกันสังคมจะอยู่ในหมวดของนโยบายของสหภาพ ภายใต้หัวข้อเรื่อง Free circulation of people, services, and capital
๒. Regulation CE no. 1408/71 ที่ตราขึ้นตั้งแต่ปี ๑๙๗๑ – เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้การประกันสังคมแก่ลูกจ้างคนทำงานและครอบครัวที่อาศัยอยู่บนดินแดนของ EU
หลักการสำคัญที่ได้จากกฎหมายข้างต้น
รัฐสมาชิกต้องจัดให้มีมาตรการที่จำเป็นเพื่อรองรับแนวคิดเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี โดยเฉพาะระบบที่สามารถให้การประกันแก่บรรดา “ผู้ใช้แรงงานอพยพ” และครอบครัวของคนเหล่านี้ที่เข้ามาอยู่ใน EU
ข้อสังเกต
๑. นิยามของคำว่า “คนทำงาน” ที่ในตัวบทภาษาอังกฤษใช้คำว่า Workers และ Travailleurs ในภาษาฝรั่งเศส
ต้องเริ่มจากการให้คำจำกัดความเสียก่อน เพื่อหา “ผู้ทรงสิทธิ” ตามกฎหมายนี้
คำถามคือ จะหาได้จากที่ใด?
หากมิได้มีการให้นิยามไว้ในตัว Regulation ก็คงต้องหาจากคำพิพากษาหรือจากกฎหมายอื่นๆของสหภาพประกอบไป สิ่งสำคัญคือ การตีความและนิยามต้องไม่อิงกฎหมายภายในของรัฐสมาชิก (เรื่องนี้รออ่านบทความของอ้อมนะคะ ^^)
Workers มีทั้งประเภทที่เป็นลูกจ้างประจำและที่มิใช่ลูกจ้างประจำ ที่เห็นว่าต้องตีความก็เนื่องมาจากว่าคำว่า Workers จะหมายถึงเพียงผู้ใช้แรงงานหรือจะรวมไปถึงผู้ประกอบวิชาชีพด้วยหรือไม่ และหาทำงานประเภทรับจ้างทำของจะรวมอยู่ด้วยหรือไม่
แต่ในส่วนของขอบเขตการบังคับใช้ในแง่บุคคลนั้น Regulation ฉบับนี้ได้บัญญัติชัดเจนให้ครอบคลุมถึงบุคคลประเภทต่อไปนี้ค่ะ
๑) คนชาติของรัฐสมาชิก
๒) คนต่างด้าวในสายตาของสหภาพ ก็คือ คนที่มาจากรัฐที่มิได้เป็นสมาชิกสหภาพนั่นเอง
๓) คนไร้รัฐไร้สัญชาติ ที่ใช้คำว่า les apatrides หรือ Stateless persons
๔) ผู้ลี้ภัย
๕) นักเรียนนักศึกษา หรือผู้ที่มาฝึกงานในสหภาพ (จะยกไปเขียนเป็นบันทึกต่างหากค่ะ)
๖) ครอบครัวของบุคคลใน ๕ ข้อแรก ที่ติดตามมาอาศัยอยู่ในสหภาพ
๒. นิยามของคำว่า la sécurité sociale หรือ Social welfare นั้นคืออะไร? ทั้งนี้เพื่อหาว่าครอบคลุมถึงเรื่องใดบ้าง เมื่อศึกษาแล้วจะพบว่าหมายรวมถึง
- การรักษาพยาบาล
- การดูครรภ์และการคลอด
- การดูแลผู้สูงอายุ
- ทหารผ่านศึก
- คนพิการทุพพลภาพ
- อุบัติเหตุที่เกิดจากการทำงานและการปฏิบัติหน้าที่
- เงินช่วยเหลือเมือเสียชีวิต
- คนว่างงาน
- ผู้เกษียณอายุก่อนเวลาราชการ
- การช่วยเหลือครอบครัว
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราสนใจหรือวัตถุแห่งการศึกษาของเราคือเรื่องแรก “การประกันสุขภาพ” ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบการประกันสังคมค่ะ
ขอย้ำอีกครั้งว่า การประกันสังคมที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นถือเป็น “สิทธิ” ซึ่งจะก่อให้เกิด “หน้าที่” บางประการต่อผู้ทรงสิทธิอย่างเท่าเทียมกันและเป็นอย่างเดียวกันกับ “คนชาติ” ของรัฐสมาชิกนั้นๆ
นอกจากนี้ คนชาติของรัฐนอกสหภาพซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนของสหภาพ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเข้าเงื่อนไขต่างๆที่กำหนดไว้ตาม Regulation ที่กล่าวมา ย่อมได้รับ “สิทธิ” ในการประกันสังคมอย่างเท่าเทียมกันกับคนชาติของรัฐนั้นๆเช่นกันค่ะ ตามหลัก Equality of Treatment
ข้อสังเกต
นอกไปจาก Regulation ซึ่งมีผลบังคับใช้โดยตรงต่อรัฐสมาชิก กม.ลำดับรองดังเช่น Directive จะมีประสิทธิผลได้ ย่อมต้องอาศัยความร่วมมือของรัฐสมาชิกด้วย เพราะเมื่อ Directive มีผลใช้บังคับ บรรดารัฐสมาชิกมีหน้าที่ผูกพันในอันที่จะต้องแก้ไขหรือตรากฎหมายภายในให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกฎหมายสหภาพเช่นว่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของคนทำงานบนเรือ เรือนั้นเดินทางไปในหลายประเทศ บุคคลดังกล่าวอาจมิได้มีสัญชาติเดียวกับเรือ หรืออาจไร้สัญชาติก็ได้ กรณีนี้ให้ถือว่าเรือมีสัญชาติใด คนงานบนเรือก็ตกอยู่ภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพของรัฐเจ้าของสัญชาติเรือ
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ในส่วนของกฎหมายภายในของฝรั่งเศสนั้น มีหลักประกันสุขภาพที่เรียกว่า AME Aide médicale de l’État ซึ่งใช้สำหรับคนต่างด้าวที่อยู่ใน “สถานะผิดกฎหมาย” เช่น เข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือเข้าเมืองถูกกฎหมายแต่ต่อมาเอกสารหมดอายุ หรือปราศจากเอกสารประจำตัวทุกชนิด แม้แต่หลักประกันประเภทนี้ก็ต้องมีการชำระเงินในรูปแบบของ “อากรสแตมป์” ค่ะ และได้รับการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด แต่บรรดาบุตรผู้เยาว์ของคนเหล่านี้จะได้รับการรักษาพยาบาลฟรีโดยได้รับการยกเว้นอากรสแตมป์และได้รับการรักษาโดยปราศจากวงเงินขั้นสูงค่ะ
หลังจากที่ได้ความรู้จากทั้งอ.แหวว คุณหมอจุ๊ก อ.ด๋าว แล้วนั้น คงเป็นเรื่องที่เราเห็นร่วมกันได้อย่างไม่ยากเย็นว่าหลักเรื่อง Social contribution ควรถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการวางนโยบายในเรื่องหลักประกันสุขภาพแก่คนไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่ในประเด็นของ “งบประมาณ” ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่นั้น อยากทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่างบประมาณจากรัฐคงไม่พอ หากจะขอความช่วยเหลือจากองค์การรปท.อย่างที่อ.แหววได้ให้ความเห็นไปนั้น จะมีความเป็นไปได้เพียงใดในลักษณะถาวรของเงินอุดหนุนดังกล่าวค่ะ
ก่อนที่จะเขียนเรื่องของการประกันสุขภาพของนักศึกษาต่างด้าวในฝรั่งเศสนั้น สิ่งหนึ่งที่พอจะบอกได้ก็คือ การทำประกันของนักศึกษาต่างด้าวดูจะง่ายกว่าในแง่ที่ว่านักศึกษาต่างด้าวส่วนมากจะสามารถ “ซื้อ” ประกันได้ คงมีบางส่วนที่เป็นภาระแก่รัฐฝรั่งเศสจริงๆ คือต้องยื่นขอประกันจาก CMU - Couverture maladie universelle สำหรับส่วนหลังนั้น ต้องมีการแสดงเงินได้ประกอบการยื่นคำขอค่ะ เพื่อให้เห็นว่าไม่สามารถชำระเงินค่าประกันได้จริงๆ และมีขั้นตอนเงื่อนไขและเอกสารราชการต่างๆพอสมควร ตรงจุดนี้เองที่อ้อมเห็นว่าบางครั้งก็ทำให้กลายเป็น “อุปสรรค” ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลเช่นกันค่ะ
ไม่มีความเห็น