5. จะเริ่มต้นเขียนแผนการเรียนรู้
แบบบูรณาการอย่างไร
คำถามที่ผมนำมาเป็นชื่อตอนย่อยที่ 5 นี้ เป็นคำถามที่ผมคิดว่ามีคำตอบง่าย ๆ แต่ทำยาก ทำไมผมจึงกล่าวอย่างนี้ ลองฟังดูนะ ผมจะตอบว่า “แล้วแต่ความถนัดของใครคนนั้น” ตรงนี้สำคัญมาก วิธีการของใครก็เป็นวิธีการของคนนั้น เพราะแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน และต่างคนต่างก็ฝังใจอยู่กับวิธีการที่ตนถนัดแล้วมักจะนำวิธีการนั้นมาดำเนินงานที่ตนกำลังกระทำอยู่ ผมขอตอบอย่างนี้จริง ๆ
สำหรับตัวของผมเอง ผมคิดว่า การเริ่มต้นเขียนแผนการเรียนรู้แบบบูรณาการนั้น คุณครูจะต้อง ปรับวิธีการคิดผจงลิขิตวิธีการสอนของตนเองเสียก่อน ทำไมผมจึงกล่าวอย่างนี้ ลองอ่านดูต่อไปเถอะครับ
ขั้นที่ 1 ปรับวิธีการคิด ผจงลิขิตวิธีการสอน
1.1 ปรับวิธีการคิด หมายถึงว่า ตราบใดที่คุณครูยังยืนกรานอยู่ด้วยคำพูดที่มาจากการกระทำและความคิดว่า “สอนไม่ทันต้องรีบสอนให้จบหลักสูตร (คือหนังสือแบบเรียน) อยู่อย่างนี้แล้ว คุณครูก็จะไม่สามารถสอนแบบบูรณาการได้ เพราะการสอนแบบบูรณาการนั้น เราเน้นให้ผู้เรียน เรียนรู้จากกิจกรรม ทักษะและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้เรียนปฏิบัติจะเป็นทางนำสู่ความรู้ที่ผู้เรียนรู้ได้ด้วยวิธีการปฏิบัติเอง ไม่ใช่จากการบอกเล่าของครู ผู้เรียนกระทำกิจกรรมหนึ่งก็จะได้ตัวรู้มาหนึ่งตัว ทำต่อก็จะรู้ต่อ ทำจนครบทุกกิจกรรม ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลความรู้ที่ได้จากตัวรู้นั้นมานั่งอภิปราย คิดทบทวนสรุปเป็นองค์ความรู้ของตน ภาพเปรียบเทียบง่าย ๆ คือ เริ่มต้นเรียน ผู้เรียนจะร้องว่า ออ! เรียน ไป ๆ ก็จะ อ่อ ! แล้ว อ้อ ! จนถึงขั้น อ๊อ ! และสุดท้ายจะตะโกน อ๋อ รู้แล้ว ๆ นั่นเอง เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าให้ผู้เรียนเรียนรู้จากหนังสืออย่างเดียว เล่มเดียว ก็จะไม่เกิดภาพอย่างที่กล่าวมา ครูจำเป็นต้องให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า หาความรู้จากหนังสือหลาย ๆ เล่มจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย นำตัวรู้ที่ได้มาเทียบเคียงหาความสอดคล้องและความสอดรับกัน แล้วสรุปเป็นองค์ความรู้สำหรับตน
นอกจากนั้น การเรียนรู้แบบบูรณาการจะไม่ยึดห้องเรียนเป็นที่ตั้ง แต่สถานที่เรียนจะเปลี่ยนไปตามแหล่งที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ต้องวางแผนการเรียนเอง ดังนั้น สถานที่เรียนของผู้เรียนก็ต้องดูที่แผนการเรียนรู้ที่วางไว้ จะเรียนที่ไหน จะเรียนกับใคร จะมีวิธีการเรียนอย่างไร ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้บอกครู ไม่ใช่ครูเป็นผู้กำหนด ครูจะเป็นเพียงผู้รับทราบ แล้วคอยเอื้ออำนวยการให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างคล่องตัว ครูจะคอยเป็นพี่เลี้ยงที่คอยเติมเต็มให้ผู้เรียนรู้จริงในเรื่องนั้น ๆ
อีกอย่างหนึ่ง การเรียนแบบบูรณาการนั้น ไม่มีตารางเรียน ไม่มีชั่วโมงเรียน ไม่มีวิชาที่จะเรียนเป็นรายชั่วโมง เพราะฉะนั้น ตารางเรียนหรือตารางสอนจะบอกว่า สัปดาห์นี้เรียนหน่วยใดเรื่องอะไร ตอนใด มากกว่าบอกชั่วโมงเรียน เพราะบางเรื่องบางกิจกรรมเรียนรู้ใน 1 ชั่วโมง แต่บางกิจกรรมใช้เวลาเรียนมากกว่า 2 ชั่วโมง บางทีก็เรียนถึง 5 ชั่วโมงก็มี ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่กิจกรรมนำสู่การเรียนรู้ ที่บอกว่าเรียนตอนใดนั่นหมายถึงว่า ในหน่วยใหญ่นั้นจะมีตอน ย่อย ๆ อีก อย่างเช่น ครูบังอร หลีเจริญ สอนเรื่อง บทเรียนจากประสบการณ์จริงของชีวิต มีหน่วยย่อยถึง 6 หน่วยย่อย ดังได้กล่าวมาแล้วตอนต้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ตารางเรียนจะกำหนดหน่อยย่อยและบอกว่า “ช่วงนี้ไปเรียนรู้ที่แหล่งเรียนรู้ใด” ดูตัวอย่างตามบทเรียนของระดับอนุบาลนั้นจะเห็นภาพที่ใกล้เคียงกันมาก และการสอนแบบบูรณาการนั้น ผมคิดว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ไปตามบท (กิจกรรม) ที่ผู้เรียนวางแผนไว้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและบทเรียนเหล่านั้น ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติจริงต้องมีการวางแผนการทำงาน ทำงานแล้วมาสรุปเป็นตัวรู้กันจริง ๆ ไม่ใช่ท่องจำตำรามาบอกว่าจะหยิบหนังสือเล่มใด วิชาใดมาเรียนดังแต่ก่อน หรือดังการสอนแบบไม่ใช้วิธีการบูรณาการไม่ได้
ทั้งหมดนี้คือการปรับวิธีคิดในเบื้องต้น ทำ ๆ ไปก็ต้องปรับความคิดไปเรื่อย ๆ เพราะปัญหาที่เกิดระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้นมีบ่อยและมากด้วย ถ้าคิดว่าเป็นปัญหาและยุ่งยาก การสอนจะไม่สนุก แต่ถ้าคิดว่าทุกปัญหาก่อให้เกิดปัญญา แล้วจะสนุก เพราะทุกขณะที่คิดแก้ปัญหา ครูย่อมเกิดการเรียนรู้ มันเป็นการผดุงปัญญาครูผู้สอน ส่งผลให้ครูผู้สอนรู้ลึกถึงรากของการบูรณาการที่แท้จริง ครูต้องเตรียมตัวเตรียมใจ สนุกกับการผจญกับปัญหาที่จะเกิด เมื่อเกิดปัญหา หาทางแก้ไข แก้ไขได้แล้วก็บันทึกไว้เป็นข้อมูลความรู้สำหรับครู ทำบ่อย ๆ ได้ข้อมูลความรู้บ่อย ๆ นำสรุปเป็นความรู้ เป็นตำราวิชาการของตัวครูเองนั่นแหละ
1.2 ผจงลิขิตวิธีการสอน ข้อนี้สำคัญมาก และมีผลต่อเนื่องมาจากข้อ 1 ถ้าการสอนของครูคือการเรียนรู้ การสอนของครูก็คือตำราเล่มใหญ่ของครู ดังนั้นการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทำการสอน ก็คือ การบันทึกผลการเรียนรู้ของครูทุกระยะ เมื่อได้ข้อมูลมากพอที่จะสรุปเป็นเรื่อง ๆ เป็นตอน ๆ ก็สรุปไว้เป็นตำราวิชาการเล่มเล็ก ๆ ของครู ถ้าทำบ่อย ๆ ในที่สุดก็จะได้ตำราเล่มใหญ่ ผมเชื่อว่าตำราของใครก็ของคนนั้น ซึ่งย่อมมีข้อแตกต่างและข้อเหมือนกันได้ สิ่งนี้แหละที่จะทำให้ตลาดวิชาการบ้านเรา กว้างขวางขึ้นมา
คนที่ทำจริง ทำได้ รู้ได้ รู้จริง และทำเป็นนั้น จะสามารถนำเสนอผลแห่งความสำเร็จได้ดี ผู้ฟังจะฟังเข้าใจง่าย เพราะผู้นำเสนอ อธิบายง่าย ๆ ละเอียดลึกซึ้ง ยกตัวอย่างประกอบการอธิบายได้อย่างเห็นภาพชัดเจน พูดได้ว่ามีทั้งหลักการ หลักเกณฑ์ และหลักฐาน มาประกอบการนำเสนอ
และอีกอย่างหนึ่งสำหรับครูผู้รักที่จะเขียนแผนและสอนแบบบูรณาการสอน จะต้องออกแบบและเขียนแผนการสอนนั้นด้วยตนเอง อย่าได้ซื้อแผนการสอนสำเร็จรูปมาใช้สอนเพราะแผนเหล่านั้นจะไม่ตรงตามปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนของเรา สถานการณ์จะห่างไกลจากใจเด็กผู้เรียน มันจึงไม่เร่งเร้าให้ผู้เรียนอยากรู้ เพราะทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความต้องการรู้ของผู้เรียน
นี่คือการปรับวิธีการคิด ผจงลิขิตวิธีการสอน อันเป็นการเริ่มต้น เดินเข้าสู่ประตูงานการวางแผนการสอนแบบบูรณาการ
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น