4. จะจัดการเรียนแบบบูรณาการ
ได้อย่างไร
ในตอนที่ 3 ผมได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำถามว่า “แล้วจะจัดทำบทเรียนแบบบูรณาการสอนอย่างไร” คำถามนี้มีการท้าทายให้ตัวผมเองต้องคิดเรียบเรียงภาษามาเขียนตอบคำถาม
การที่เราจะคิดออกแบบบทเรียนแบบบูรณาการได้นั้น อันดับแรกครูผู้สอนจะต้องรู้ซึ้งถึงสภาพปัญหาชุมชนเสียก่อนว่า ชุมชนรอบโรงเรียนมีปัญหาใดบ้าง ทำไมจึงต้องเริ่มที่ตรงนี้ก็เพราะหลักสูตรต้องการให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาชุมชน” ใช่ไหม และปัญหาชุมชนยังเป็นสถานการณ์ในชีวิตจริงของผู้เรียนอีกด้วย ถ้าเราจัดบทเรียนอย่างนี้ก็เท่ากับเราฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องจริงที่ใกล้ตัวของผู้เรียน และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าไปร่วมในกิจกรรมการแก้ปัญหาของชุมชนได้ด้วย
แล้วถ้าไม่เดินเข้าไปศึกษาปัญหาในชุมชนอย่างแท้จริงแล้ว จะใช้แนวทางใดได้อีกบ้าง ขอตอบว่า ใช้เหตุการณ์สมมติที่เป็นสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์นั้น ๆ โดยนำปัญหาชุมชนมาสร้างสถานการณ์เรียนรู้ แล้วต้องคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาที่กำลังผจญอยู่ให้ได้ บทเรียนอย่างนี้จะเป็นไปในแนวทางของ Story Line คือ เดินเรื่องสอนเป็นเรื่องราวต่อเนื่องและเชื่อมโยงสรรพสาระการเรียนรู้มากกว่า 2-3 สาระมาเดินเรื่องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เป็นการบูรณาการข้ามสาระการเรียนรู้ ส่วนในการแก้ปัญหาชุมชน ซึ่งผมนำเสนอในอันดับแรกนั้นเป็นการเรียนรุ้แบบกรณีศึกษาชุมชน
การเรียนรู้แบบกรณีศึกษาชุมชนนั้นเหมาะกับนักเรียนที่อยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ขึ้นไป เพราะจะต้องไปเรียนรู้ในชุมชน นักเรียนโตพอที่จะควบคุมตนเองได้ แต่บทเรียนแบบ Story Line นั้น เหมาะที่จะใช้กับเด็ก ๆ ช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-3) ถึงช่วงชั้นที่ 4 แต่นั่นแหละผมชอบที่จะนำแบบเรียนทั้งสองนี้มาคลุกเคล้ากันแล้วนำไปใช้ในการออกแบบสอนเด็ก ๆ ลูกศิษย์ของผมซึ่งมันก็สนุกดี เป็นการเรียนแบบจินตนาการบ้าง ผจญกับความเป็นจริงบ้าง
บทเรียนที่ครูผู้สอนหรือสถานศึกษาได้ทำการศึกษาสภาพปัญหาชุมชนแล้วนำมาออกแบบจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น ผมพอจะมีตัวอย่างมาให้ดูได้ เช่น
1. อาจารย์นวลละออ สาครนาวิน เจ้าของโรงเรียนนวลวรรณศึกษา ชอยอุดมสุข 51 บางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ได้เห็นปัญหาจากนักเรียน และเด็ก ๆ รอบบริเวณโรงเรียน เริ่มอ้วนขึ้นมาอย่างผิดปกติ เมื่อศึกษาเจาะลึกลงไปก็พบว่า เด็ก ๆ เหล่านี้รับประทานขนมและอาหารประเภทที่เต็มไปด้วยโปรตีน ไขมันและน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารสำเร็จรูป อาจารย์นวลละออ สาครนาวิน กับคณะครูโรงเรียนนวลวรรณศึกษา จึงคิดแก้ปัญหานี้โดยการออกแบบบทเรียนขึ้นมาในปีการศึกษา 2547 บทเรียนชื่อ บทเรียนจากบัวบุณทริก และในปีการศึกษา 2548 จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ชื่อหน่วยการเรียนว่า พลังงานที่สะสมอยู่ในบัวหลวง
บทเรียนทั้ง 2 หน่วยการเรียนนี้ ต้องการที่จะให้นักเรียน เรียนรู้และเข้าถึงคุณค่าของอาหารไทย ๆ นำมาจากพืชสมุนไพร แต่ใช้นาบัว ซึ่งเป็นแหล่งเรียนในชุมชนเป็นตัวกระตุ้นความสนใจ โดยมีภูมิปัญญาท้องถิ่นคือ เจ้าของนาบัว เป็นผู้เชี่ยวชาญในการนำเสนอเรื่องราวของบัวให้นักเรียนเรียนรู้ จากบัวในนาบัวจนกระทั่งถึงอาหารบัวจานเด็ดที่นักเรียนเรียนแล้วสามารถปรุงมารับประทานกันได้ และทุกวันนี้เด็ก ๆ ที่ผ่านการเรียนบทเรียนนี้มา ได้หันมาสร้าง้น้ำจากพืชสมุนไพรจำหน่ายในโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนที่สนใจสั่งซื้อไปรับประทานด้วย หมายถึงว่า พฤติกรรมการบริโภคของเด็ก ๆ ในโรงเรียนนวลวรรณศึกษาเปลี่ยนจากการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บมาสู่การรับประทานอาหารจำพวกพืชสมุนไพรและผักมากขึ้น ปัญหาโรคอ้วนก็ค่อย ๆ ลดลง เพราะทางบ้านของนักเรียนก็มีส่วนมาร่วมปรุงแต่งอาหารให้ลูก ๆ รับประทานด้วย
2. อาจารย์ศันสนีย์ ปูรณํน อาจารย์ใหญ่โรงเรียนศรีนครินทร์วิทยานุเคราะห์ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา กับคณะครูตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ปกครองนักเรียนมาพูดคุยหรือบ่นให้ฟังว่า ผลไม้ในสวนของตนลดลง มีผลผลิตน้อยกว่าปกติ คณะครูเองก็สังเกตพบว่าขณะนี้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น คือ ผีเสื้อมีน้อยมาก เมื่อนำเด็ก ๆ ไปเรียนรู้ในสวนป่าข้างโรงเรียนก็พบว่าผีเสื้อไม่ค่อยมี “บทเรียนเรื่องผีเสื้อหายไปไหน” ก็เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้เด็ก ๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต่างก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้ จากการคอยสังเกตบันทึกแล้วนำผลมาร่วมอภิปราย สรุปได้ว่า “ขาดดอกไม้” แม้ในโรงเรียนศรีนครินทร์ ฯ เอง ต้นไม้มีมากแต่ไม้ดอกที่จะยั่วแมลงและผีเสื้อนั้นไม่ค่อยมี โดยเฉพาะพวกดอกไม้ป่าทีอุดมด้วยน้ำหวานก็ไม่มี นักเรียนจึงร่วมกันทดลองปลูกต้นไม้ดอกขึ้นมา ในที่สุดก็มีผีเสื้อเพิ่มขึ้น จึงได้วางแผนในการจะปลูกไม้ดอกให้มากขึ้น
3. ผอ.สุรพล กุลตังวัฒนา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหาดกวน ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เห็นผิดสังเกตเกี่ยวกันการมาโรงเรียนของนักเรียน ในปีการศึกษา 2546 มีเด็กมาสายมาก เด็กนักเรียนหลายคนขาดเรียนคนละหลายวัน บางคนก็ขาดหายไปเฉย ๆ จึงได้ร่วมประชุมปรึกษากับคณะครูแล้วออกไปศึกษาข้อมูลในชุมชน พบว่าช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ พ่อ-แม่นักเรียนต่างมีผลกระทบ ต้องทิ้งลูกให้อยู่กับตา-ยายหรือปู่-ย่า ตนเองออกไปหางานทำต่างจังหวัด เด็ก ๆ ไม่มีอาหารรับประทาน ความลำบากยากจน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์การมาเรียนสายและการขาดเรียน โรงเรียนบ้านหาดกวนไม่ได้ละเลยต่อปัญหานี้ ได้จัดทำบทเรียนที่กินได้ให้เป็นหน่วยการเรียนรู้หน่วยหนึ่งของโรงเรียนขึ้นมา ครูนำพานักเรียนปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์แล้วนำผลผลิตมาหุงต้มเป็นอาหารเลี้ยงนักเรียน นำเงินงบประมาณอาหารกลางวันมาสมทบกับพืชผัก สัตว์เลี้ยงในบทเรียนช่วยให้เด็กมีอาหารรับประทาน ผอ.สุรพล ไม่หยุดอยู่แค่นั้น พบเห็นว่าชาวบ้านปลูกผักสวนครัว เลี้ยงปลาโดยใช้พวกสารเคมีมาก เงินหมดไปกับการซื้ออาหารสารเคมีเลี้ยงสัตว์ ผอ.สุรพลจึงได้ไปฝึกอบรมผลิตน้ำปุ๋ยชีวภาพ ( E.M ) แล้วนำมาใช้เป็นตัวอย่าง หาครอบครัวทดลองปลูกผัก เลี้ยงปลา โดยผลิตอาหาร ปุ๋ยผสมน้ำยาชีวภาพ เวลาล่วงเลยมา 3 ปี โรงเรียนบ้านหาดกวนก็ได้รับการรับรองจาก “กลุ่มเกษตรคิวเซ” ให้เปิดเป็น “ศูนย์ส่งเสริมเกษตรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” มีผู้ปกครองนักเรียนมากมายเข้ารับการฝึกอบรม ผลิตปุ๋ยชีวภาพและอาหารเลี้ยงสัตว์ โดยมี ผอ.สุรพล กุลตังวัฒนา เป็นวิทยากรและกลุ่มนักเรียนเป็นผู้สาธิตการผลิต
4. อาจารย์เสาวนีย์ ไชยมงคล สอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านสันมะเค็ด อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ได้ร่วมมือกับครูภายในโรงเรียนศึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน พบว่า บ้านสันมะเค็ดไม่ค่อยมีต้นไม้จึงไม่มีป่าไม้ ภูเขาจะเป็นภูเขาเตียนโล่ง หน้าร้อนจะมีไฟป่าเผาผลาญต้นหญ้าและต้นไม้เล็ก ๆ บนภูเขาบ่อยครั้ง ผลที่เกิดขึ้นคือ มีความร้อนสูง บทเรียนกรณีศึกษาป่าชุมชนก็เกิดขึ้น โดยอาจารย์เสาวนีย์ ไชยมงคล กับเพื่อนครูได้กระตุ้นให้เด็ก ๆ วางแผนออกไปเรียนรู้เรื่องราวป่าบ้านสันมะเค็ดในอดีตสู่ปัจจุบัน ก่อนออกสู่หมู่บ้านนักเรียนต้องเตรียมคำถามไว้มากมาย แล้วออกไปหาข้อมูล ได้ข้อมูลมาก็นำมาอภิปราย หาข้อสรุปและร่วมกันพิจารณาว่ายังขาดข้อมูลด้านใด จะตั้งคำถามแบบใด แล้วร่วมกันตั้งคำถามใหม่ ไปหาข้อมูลใหม่ ทำหลาย ๆ ครั้งจนได้ข้อมูลพอที่จะนำเสนอชุมชน ก็เรียนเชิญผู้นำชุมชน และชาวบ้านมาฟังการนำเสนอข้อมูลที่นักเรียนสรุปได้ แล้วร่วมกับชุมชนอภิปรายหาวิธีการแก้ปัญหา จนในที่สุด ทุกคนสรุปร่วมกันว่า เลิกเผาป่า เลิกทำไร่เลื่อนลอย เริ่มการปลูกป่า และได้ดำเนินการติดต่อกันมาหลายปี ทุกวันนี้บ้านสันมะเด็ดมีป่าชุมชน มีพรรณไม้หลายหลาก และมีความร่มเย็นจากไอป่า บทเรียนหน่วยนี้ใช้วิธีการกรณีศึกษาป่าชุมชน เริ่มต้นดำเนินการประมาณปี พ.ศ. 2537 ทุกวันนี้ โรงเรียนบ้านสันมะเด็ดยังใช้วิธีการกรณีศึกษาเรียนรู้เรื่องที่อยากรู้อยู่อีก
5. อาจารย์มนัส บูรพา โรงเรียนวัดหนองหมู อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เห็นปัญหาที่เกิดในหมู่บ้าน คือ ชาวนารอบ ๆ โรงเรียนทำนาแล้วขาดทุนปีต่อปี จึงได้คิดบทเรียนระบบนิเวศน์ในนาข้าวขึ้นมา นำเด็ก ๆ ไปเรียนรู้ถึงค่าใช้จ่ายในการทำนาครั้งหนึ่ง ๆ ของชาวบ้าน แล้วมาคิดวิเคราะห์ดูว่า ขาดทุนเพราะอะไร ในที่สุดก็พบว่า สารเคมีพวกปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง คือตัวกินทุนที่รุนแรงสำหรับชาวนา อาจารย์มนัส บูรพา จึงได้เริ่มทำนาแปลงทดลองที่หน้าโรงเรียน เด็ก ๆ ไถนา ปักดำ และดูแลนาข้าวโดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ใช้ระบบนิเวศน์ในนาข้าว อันประกอบด้วยการนำธรรมชาติอุปถัมภ์ธรรมชาติ ปุ๋ยคอกจากวัวควายที่ย่ำไปในนาหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ซังข้าวและต้นหญ้าที่นำมาเปลี่ยนสภาพเป็นปุ๋ยเลี้ยงดินที่เตรียมปลูกต้นข้าว และยาฆ่าแมลงที่เคยซื้อก็เปลี่ยนเป็นให้แมลงฆ่าแมลง คือ แมลงบางจำพวกในนาข้าวไม่ได้กัดกินต้นข้าวแต่คอยดักจับแมลงบางพวกที่มากัดกินต้นข้าวเป็นอาหาร เด็ก ๆ เข้าไปศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศน์พวกนี้ แล้วบันทึกไว้เป็นตำราเรียนที่เขียนด้วยเด็ก เป็นบทเรียนที่ดีมาก และผลของการใช้ระบบธรรมชาติอุปถัมภ์ธรรมชาติของอาจารย์มนัส บูรพา ปรากฏผลว่า ขายข้าวได้กำไร และกำไรสูงสุดอยู่ตรงที่ เด็ก ๆ ลูกศิษย์ของอาจารย์มนัส บูรพา ได้เรียนรู้วิธีการอยู่รอดในสังคมเกษตรแบบพอเพียงที่ยั่งยืน
6. อาจารย์บังอร หลีเจริญ ครูโรงเรียนบ้านยาแลเบ๊าะ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พบว่า ชาวบ้านยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการรับบริการจากสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจในชุมชน อาจารย์บังอรจึงได้จัดทำหน่วยการเรียนขึ้นหน่วยหนึ่งชื่อ บทเรียนจากประสบการณ์จริงของชีวิต มีหน่วยการเรียนย่อย ๆ จำนวน 6 หน่วยย่อยคือ
6.1 แหล่งเรียนรู้ที่โรงพยาบาล
6.2 ศึกษาที่ว่าการอำเภอ
6.3 การปกครองส่วนท้องถิ่น
6.4 ศึกษาสถานีรถไฟ
6.5 สุขสันต์ปีใหม่ที่ไปรษณีย์
6.6 ธนาคารที่ฉันรู้จัก
บทเรียนทั้ง 6 หน่วยย่อยการเรียนนี้ นักเรียนจะต้องวางแผนออกไปเรียนรู้ที่สถานที่แหล่งนั้นจริง ไปเรียนรู้แล้วกลับมาสรุปเป็นตำราเรียนของตนเองได้
บทเรียนทั้ง 6 เรื่องของหน่วยการเรียนนี้ เด็ก ๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนบ้านยาแลเบ๊าะ ชอบมากเพราะ
นักเรียนโรงเรียนบ้านยาแลเบ๊าะ ได้เรียนรู้แบบวิธีการเรียนรู้จากบทเรียนจากประสบการณ์จริงของชีวิต ติดต่อกันได้เพียง 2 ปี คือ พ.ศ . 2547-2548 ก็ต้องหยุดเพราะสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบนี้
ในตอนที่ 4 นี้ผมชี้ให้เห็นถึงภาพของครูจำนวนหนึ่งที่จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการข้ามสาระ โดยที่ผู้เรียนออกไปเรียนรู้ในสถานที่เรียนและหน่วยการเรียนนั้น ๆ ได้อย่างไม่คิดพะวงว่าตนกำลังเรียนวิชาใด แต่เมื่อเรียนแล้วรู้เรื่องที่เรียนและสามารถดึงความรู้จากสาระการเรียนรู้ที่เคยผ่านการเรียนรู้มานำใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะที่ผจญกับสถานการณ์การเรียนรู้เรื่องหนึ่ง การรับรู้แบบนี้เป็นการรับรู้แบบกินยาแอสไพริน กินยาเข้าไปไม่นานก็หายปวด เรียนไปไม่นานก็รู้เรื่องที่อยากรู้
แล้วตอนต่อไป ผมจะเขียนถึงวิธีการคิดเขียน บทเรียนแบบบูรณาการ ครับ...
อ่านเป็นเล่มได้ที่ https://docs.google.com/docume...
ไม่มีความเห็น