มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ : รู้จักบ้านของจิตใจ...


สมาธิเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของใจ ใจมันต้องมีบ้าน บ้านคือสมาธิ เพราะใจมันวิ่งทั้งวัน ทำงานทั้งวัน เรามาเปิดโอกาสให้ใจมันได้พักได้ผ่อนบ้าง ถ้าเรามีสมาธิ เราก็มีธรรมะโอสถ บำรุงซ่อมแซมสุขภาพร่างกาย ลดความเครียด เราก็จะไม่เป็นโรคเครียด ไม่เป็นโรคกระเพาะ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต มันเป็นธรรมะโอสถ

 

          ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมาล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัย คนเราถึงไม่เหมือนกัน อาศัยกรรมอาศัยการกระทำเป็นแดนเกิด เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำ ทุกท่านทุกคนถึงมีที่อยู่ที่อาศัย มีกายเป็นที่อาศัยของใจ มีบ้านมีที่อยู่เป็นที่อาศัยของกาย


          ทุกท่านทุกคนต้องมีที่อยู่ ถ้าคนไม่มีบ้านไม่มีที่อยู่ก็กลายเป็นคนเร่ร่อน ก็กลายเป็นคนไม่มีที่พักอาศัย กายก็ต้องมีที่อยู่ ใจเราก็ต้องมีที่อยู่ คนว่างงานคนไม่มีงานทำ ถึงจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายแต่จิตใจเขาไม่มีเครื่องอยู่

          อย่างตัวของเราเองนี้ เราต้องมีที่อยู่ ให้ใจของเรามันอยู่กับเนื้อกับตัว ให้อยู่กับการกับงานอยู่กับการกระทำของเรา หรืออยู่กับการหายใจเข้าให้มันสบาย อยู่กับการหายใจออกให้มันสบาย ถ้าใจกับกายมันอยู่ด้วยกัน มันก็มีสมาธิ มันก็มีความสุข

          ใจของเรานี้มันชอบท่องเที่ยว มันไม่อยู่กับบ้าน บ้านของใจก็คือร่างกายของเรานี้เอง มันชอบไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่ ใจของเรานี้ เดี๋ยวก็ได้รับอันตรายกลับมานะ ถ้าเที่ยวบ่อย ๆ


          เดี๋ยวก็ไปรักคนโน้น เดี๋ยวก็ไปเกลียดคนนี้ มีความเป็นอยู่อย่างนี้ใจของเราส่วนใหญ่


          วัน ๆ หนึ่งมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันไม่ได้มีความหยุดความเย็น


          ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้เรากลับมาท่องพุทโธในใจ ให้ใจมันมาอยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับการกับงาน ถ้าเราไปปล่อยใจของเราคิดไปเรื่อยเปื่อย เราไม่ได้อยู่กับตัวเอง ไม่ได้อยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ จิตใจของเรามันก็ร้อน จิตใจของเราก็ไม่สงบ หาความสุขไม่ได้ เป็นการใช้ระบบสมองมากเกินไป ทำให้เราเป็นโรคเครียด “ทำให้เราเป็นโรคขาดสารความสุข” มันไปมีระบบขัดแย้งในจิตในใจ


          ใจของเรามันมีแต่ต่อต้าน ใจของเรามันไปรบบุคคลอื่น เรามองดูที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือที่ที่เขามีสงครามกัน ความสงบมันไม่มีในที่ที่มีสงคราม ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าใจมันไม่หย่าสึก ไม่หยุดสงครามในจิตในใจของเรา ใจของเรามันก็ไม่มีความสงบสุข


          ความคิดของเรานี้ มันทำให้เราผลิตสารที่มันไม่ดีให้กับร่างกาย พระพุทธเจ้าท่านถึงเรามีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ มีความคิดมีอารมณ์เป็นธรรมะโอสถ


          อย่างเราเห็นเราได้ยินในสิ่งที่มันไม่ดี เราก็น้อมนำมาใส่ใจให้เป็นคติว่าสิ่งเหล่านี้มันมีขึ้นก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่มีแล้วเราก็จะไม่รู้ เราก็จะไม่เห็น ดังนั้นความคิดของเรามันเป็นยารักษาโรคทางกายแล้ว มันก็เป็นยารักษาโรคทางใจได้


          มันต้องมีสิ่งที่เปรียบเทียบเพื่อให้เราได้พัฒนาตนเอง ถ้ามันมีดีไปหมดเราก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันไม่ดี มันต้องมีทั้งดีทั้งไม่ดี ให้เราเห็นเราจะได้เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา

 

          คนเราส่วนใหญ่นี้ยังมีความคิดเห็นผิดอยู่ คือไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก มีความคิดเห็นอย่างนี้กัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คนเรานี้มันต้องแก่ มันต้องเจ็บ มันต้องตาย มันต้องพลัดพราก อยากจะให้มันว่างจากความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็มานั่งคิดเดินคิดนอนคิดอยู่อย่างนั้น มาต่อต้านอยู่อย่างนี้ มีจิตใจที่ต่อต้านขัดแย้งอยู่อย่างนี้ตลอด


          อยากร่ำรวย แต่ขี้เกียจไม่อยากทำงาน อยากพบอยากเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ขี้เกียจไม่อยากขวนขวาย ไม่อยากสร้าง


          จิตใจของคนเรานี้ มันล้วนแต่ตั้งอยู่ในความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่มาก


          อยากไปพระนิพพานก็อยากไป ก็ว่าพระนิพพานดี แต่ไม่อยากรักษาศีล ไม่อยากปฏิบัติธรรม รักษาศีลห้าก็กลัว รักษาศีลแปดก็ยิ่งกลัว รักษาศีล ๒๒๗ ก็ยิ่งกลัวไปอีก

 

          กลัวในสิ่งที่มันดี สิ่งไหนที่มันไม่ดีไม่กลัวนะ คนเรานี้ เหตุผลมันมีมากเหลือเกิน มันเถียงในใจฉอด ๆ ๆ เพราะเหตุนั่นเหตุนี่ สารพัดเหตุที่จะเอามาเถียง มันกลัวความดี กลัวศีลกลัวธรรม มันกลัวที่จะริดรอนสิทธิ กลัวที่จะลิดรอนอิสรภาพของกิเลส ราคะ ตัณหา อุปาทาน


          ความกลัวอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นอาการของอสุรกาย มันกลัว อสุรกายนี้มันกลัวความดี กลัวทำดี


          เราจะหนีความไปจริงไปไหน มันหนีไม่ได้


          พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจ ว่าใจของเรามีความคิดความเห็นที่ผิด แล้วก็ทำผิดพูดผิด นั่งสมาธิมันก็จะเอาแต่ความสงบ เอาไม่ปวดแข้งปวดขา


          ความเป็นจริงแล้วถ้าเราอยากให้มันสงบ มันไม่สงบ เพราะมันเป็นความอยาก เป็นนิวรณ์ เป็นความโลภ


          ถ้าเราไม่อยากให้ปวด มันก็ยิ่งปวด มันยิ่งทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจ
         พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเราต้องการความสงบ เราก็อย่าไปวุ่นวายมาก เรามีหน้าที่หายใจเข้าให้มันสบาย หายใจออกให้มันสบาย รู้ลมเข้ารู้ลมออกให้มันสบาย มีความสุขกับการหายใจเข้าให้มันสบาย มีความสุขกับการหายใจออกให้มันสบาย เราทำอย่างนี้จิตใจเราก็มีสมาธิขึ้นเอง มันก็สงบของมันเอง


          นี่เราเริ่มนั่งสมาธิแล้ว เราก็เริ่มขุดหลุมฝังตัวเองแล้วสร้างปัญหาให้ตัวเอง สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง สมาธิแปลว่าเสียสละ สมาธิแปลว่าไม่มีความโลภความโกรธความหลง เป็นสิ่งที่ปราศจากตัวตน เป็นสิ่งที่ปราศจากนิวรณ์

 

          สมาธิเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของใจ ใจมันต้องมีบ้าน บ้านคือสมาธิ เพราะใจมันวิ่งทั้งวัน ทำงานทั้งวัน เรามาเปิดโอกาสให้ใจมันได้พักได้ผ่อนบ้าง ถ้าเรามีสมาธิ เราก็มีธรรมะโอสถ บำรุงซ่อมแซมสุขภาพร่างกาย ลดความเครียด เราก็จะไม่เป็นโรคเครียด ไม่เป็นโรคกระเพาะ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต มันเป็นธรรมะโอสถ



          บางคนต้องใช้ต้องอาศัยยา อาศัยเภสัช เพราะว่าเคมีในร่างกายของเรามันเปลี่ยน

 

          อารมณ์ เยื่อใยต่าง ๆ ทำให้จิตใจของเรากระทบกระเทือน ความผิดหวังในความรัก ความผิดหวังในสิ่งที่ไม่ได้ตามความต้องการตามปรารถนามันทำให้เป็นโรคทางกาย

 

          แต่คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัวเอง ไม่ได้รีบแก้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ได้รีบรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไป คนที่มันยังไม่เป็นโรคเครียดก็ต้องระวังไว้ก่อน เพราะปัญหาข้างหน้า สิ่งที่ไม่พึงปรารถนามันย่อมเกิดขึ้นกับพวกเราทุก ๆ คนแน่นอน

 

 

          พระพุทธเจ้าให้เราฝึกคิดไว้ก่อน กระตุ้นเตือนใจของเราไว้ตลอดเวลา
      พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราชะล่าใจ ให้พัฒนาความดีของเราสามอย่าง ก็คือเป็นคนใจดี มองทุกอย่างให้มันเป็นดีไปหมด กระทำทุกอย่างให้มันดี ให้มันดีหมด ไม่ว่าอะไร ๆ ก็ทำให้มันดีหมด พูดอะไร ๆ ทุกอย่างก็พูดให้มันดีหมดนะ ดีสามอย่าง เพราะความดีสามอย่างนี้มันเป็นชีวิตจริงของเรา ที่เราต้องดำเนินต่อไป เป็นการปรับปรุงใจของเราเอง เป็นการปรับปรุงการกระทำของเราเอง เป็นการปรับปรุงคำพูดของเราเอง ถ้าเราทำอย่างนี้คือพระที่แท้จริงในตัวเรา

 

          เราเป็นคนดีทุกคนก็รักเคารพนับถือเรา ตัวเราเองก็รักเคารพนับถือเราเอง เราไม่ต้องไปหาพระนิพพานไกลหรอก พระนิพพานมันอยู่สามอย่างนี้แหละ ชีวิตก็จะเป็นชีวิตที่สงบ ก็จะเป็นชีวิตที่เย็น ก็จะเป็นชีวิตที่สบายจริง ๆ ถ้าเราทำอย่างนี้ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่ก่อนเราเป็นคนเครดิตไม่ค่อยดี ที่นี้แหละเครดิตมันก็จะดีขึ้นนะ


          โอวาทพระปาฏิโมขก์ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า การทำความดีให้ถึงพร้อมคือการไม่ทำบาปทั้งปวง ถ้าเราทำอย่างนี้มันไม่ดี มันไม่เจริญมันเป็นไปไม่ได้


          เหมือนเด็กถ้าตั้งใจอ่านหนังสือ ท่องหนังสือ เรียนหนังสือ มันไม่ดี มันไม่เก่ง ไม่ฉลาดมันเป็นไปไม่ได้


          เราไม่ต้องไปคิดอะไรมาก คิดมากก็ไม่ได้อะไร


          พระพุทธเจ้าให้เราทำดีอย่างนี้ ให้เราคิดดีอย่างนี้ ให้เราพูดดีอย่างนี้ มันจะได้ไม่มีปัญหามาก มันจะไม่ได้เรื่องมาก


          กรรมคือการกระทำของเรานี้แหละ มันจะส่งผลให้เราไปสู่สุขคติเอง
อย่าไปมักง่ายให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามโอวาทคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ไม่มีความคำว่ายากจน จะได้ไม่มีคำว่าผิดหวัง


          เราจะมาเป็นนักวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผลอยู่อย่างนั้นไม่มีการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีประโยชน์อะไร เรามัวแต่ไปวินิจฉัย เรามัวแต่ไปวิตกวิจารณ์อย่างนี้ไม่ได้ ให้รีบทำให้รีบปฏิบัติ


          ยาดีนี้มันเห็นผลช้าหน่อยแต่มันก็ค่อยเป็นค่อยไป ไปของมันเรื่อย แต่ถ้าคุณหมอเขาใช้สเตียรอยด์ ใช้มอฟีน มันหายเร็ว หายเร็วอยู่แต่มันมีโทษมาก
การสร้างบารมีให้ทำสม่ำเสมอ เหมือนเราปลูกต้นไม้ ที่มันโล่ง ๆ เราปลูกต้นไม้เล็กนิดเดียว เราก็ท้อใจว่าเมื่อไหร่มันจะได้ผล เมื่อไหร่มันจะโต เราจะไปคิดท้อใจ

 

          เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วมันไม่ได้ปลูก ถ้าเราไปคิดอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ปฏิบัติ


          เราถือว่าชีวิตของเรามันไม่สายนะ เพราะมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมแสดงว่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้ นี้เรายังมีลมหายใจอยู่สามารถแก้ไขได้ สามารถประพฤติปฏิบัติได้

 

 

          วัดเรานี้ปลูกต้นไม้มาแปดปี แต่ก่อนมันก็เป็นที่โล่งแจ้งเป็นไร่ เป็นป่าข้าวโพด ปลูกแล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น อีกหน่อยก็ใหญ่ก็โต อีกหน่อยมันก็จะเป็นป่าใหญ่ ความดี ความประพฤติปฏิบัติของเรา มันต้องรีบฝึก รีบปลูก รีบดูแลรักษา พลิกผืนดิน พลิกแผ่นธรรม... , สถานธรรม : ยามเย็น...

 

          ชีวิตของคนเราแป๊บเดียวนะ แป๊บเดียวมันก็แก่ไปแล้ว ยังทำอะไรยังไม่สำเร็จเลย มันก็แก่ไปแล้ว มันก็ล้มหายตายจากกันไปแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัตินะ

 

          เรากลับไปบ้าน เรากลับไปที่โรงเรียน เรากลับไปที่ทำงานเราก็เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติไปปฏิบัติ เป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์สายพันธุ์ขยัน เติมเสต็มเซลล์ให้กับเรา เติมใจดีใจสบาย


          การกระทำที่ดี ๆ พูดดี ๆ นำไปประพฤติปฏิบัติที่บ้าน อยู่ในสังคม นำไปประพฤติปฏิบัติกัน เพราะอยู่ที่บ้านเราต้องใช้ธรรมะมาก มากเป็นพิเศษ เพราะในวัดนี้มันมีผัสสะมีเครื่องกระทบเพียงเล็กน้อย เราฝึกซ้อมประพฤติไปปฏิบัติไปอย่างดี แต่เวลาเรากลับไปบ้าน กลับไปที่โรงเรียน กลับไปที่ทำงานเราแพ้ทุกที เพราะว่าเราไม่นำไปประพฤติปฏิบัติ


          เราไม่นำไปประพฤติปฏิบัตินี้ไม่ได้นะ เราเจ๊ง เราทำงานแล้วเราก็ใช้ไป มันก็ไม่มีเงินเก็บ เราทำงานแล้วเราก็ต้องใช้ให้มันเกิดประโยชน์ให้มันคุ้มค่า เสียเวลามาประพฤติปฏิบัติแล้ว ก็นำไปใช้ให้ดี ๆ เราต้องปฏิบัติในทุกที่ เราอยู่ไหนเราก็ต้องปฏิบัติ เราปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้กับตัวเอง แล้วก็เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นอีก

 

          ทุกคนยินดีในวันเกิดของเรา ฉลองวันเกิดของเรา ก็ให้เรายินดีในการที่จะฉลองวันแห่งการประพฤติปฏิบัติของเราบ้าง


          ฉลองในการปฏิบัติอย่างไร...? ก็ให้นำตัวเองประพฤติปฏิบัติให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ฉลองวันเกิดว่าเราเกิดมาแล้วก็ยิ่งดี เพราะอย่างนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ทำความดี มันก็ไม่มีประโยชน์ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา  มันก็จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป ถ้าเราได้นำตนเองมาประพฤติปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ที่มันมีปัญหาเพราะเราไม่นำมาประพฤติปฏิบัตินี้เอง...



 

พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

หมายเลขบันทึก: 482482เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2012 14:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท