ตลอดระยะเวลา 11 ปีของการเป็นแพทย์ในชนบทหลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ความตั้งใจเดิมตั้งแต่เข้าเรียนปี 1 ที่จะออกไปทำงานในชนบทเมื่อจบปี 6 ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงโดยเลือกไปทำงานครั้งแรกเป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลงาว จ.ลำปาง อยู่ 1 ปี แล้วได้รับการชักชวนจากผู้บังคับบัญชาให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลแม่พริก จ.ลำปางโดยได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเป็นแพทย์ประจำอยู่คนเดียว 2 ปีแม้จะอยู่คนเดียวแต่ก็พยายามระดมพลังปัญญาความร่วมมือของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ซึ่งส่วนใหญ่จบใหม่ทั้งนั้นพัฒนาโรงพยาบาลจนมีคนไข้เชื่อถือศรัทธามาใช้บริการมากและสามารถพัฒนาจนได้รับรางวัลโรงพยาบาลชุมชนดีเด่นจังหวัดลำปาง 3 ปีซ้อนแต่ก็มีจุดเปลี่ยนผ่านในชีวิตในการทำงานเมื่ออยู่แม่พริกได้ 3 ปีก็ได้ขอย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลบ้านตาก จ.ตากตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบัน จากประสบการณ์การทำงานที่ได้มาจากลำปาง 4 ปีรวมกับประสบการณ์จากการทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนา กิจกรรมกีฬาต่างๆในขณะเป็นนักศึกษาแพทย์รวมทั้งความสมดุลในชีวิตครอบครัวที่พออยู่พอกินตามอัตภาพได้ช่วยให้สามารถเข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตากได้อย่างมีความสุขและทำงานที่เป็นประโยชน์ได้มาก อำเภอบ้านตากเป็นอำเภอขนาดกลางที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองตากนักแต่สภาพภายในอำเภอก็ยังมีความเป็นชนบทอย่างแท้จริง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ป่าเขามากกว่าที่ราบลุ่ม มีตลาดเล็กๆอยู่ห่างจากที่ตั้งโรงพยาบาลประมาณ 2 กิโลเมตร มีชาวไทยและชาวไทยภูเขารวมทั้งแรงงานต่างชาติอพยพอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่แน่นอนเพราะมีการเคลื่อนย้ายข้ามเขตแดนไปๆมาๆ โรงพยาบาลอยู่บนเนินเขาที่มีพื้นที่รอบๆเป็นที่ต่ำหรือเหว การพัฒนาพื้นที่จะทำได้ยาก เมื่อจะก่อสร้างอะไรต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการปรับถมดินสูงกว่าปกติ จนอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่านหนึ่งพูดว่าโรงพยาบาลบ้านตากพัฒนายากเพราะอยู่ในเหว ตอนที่ตัดสินใจย้ายจากแม่พริกมาบ้านตากไม่ได้หวังว่าจะอยู่ใกล้เมืองมากขึ้นแต่เพราะมีแพทย์รุ่นพี่ท่านหนึ่งได้พูดว่าการอยู่อำเภอเล็กๆไกลๆนั้นไม่ต้องทำอะไรมากคนไข้ก็มารักษาอยู่แล้วเพราะเขาไม่มีทางเลือกและเจ้าหน้าที่ก็เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวไม่มีพันธะก็จะพัฒนาง่าย ทำให้ผมมาคิดว่าถ้าอยู่อำเภอที่ใหญ่ขึ้นและใกล้เมืองมากกว่าเดิม ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น เจ้าหน้าที่มีอายุและมีครอบครัวแล้วเราจะสามารถพัฒนางานได้ไหม ผมเลือกมาที่โรงพยาบาลบ้านตาก โรงพยาบาลที่ถูกมองข้ามทั้งแพทย์และประชาชน เพราะตลอด 30 ปีมีผู้อำนวยการถึง 23 คน(ผมเป็นคนที่ 23) มีการเปลี่ยนแพทย์ประจำทุกปี ซึ่งผิดกับโรงพยาบาลรอบๆตัวจังหวัดอื่นๆที่ผู้อำนวยการมักจะอาวุโสและอยู่นาน พอมาอยู่ก็รับรู้ว่าเมืองตากเป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆเป็นทางผ่าน ประมาณ 3 ทุ่มตลาดก็เงียบแล้ว การเดินทางก็ลำบาก เป็นทางผ่านก็จริง แต่รถโดยสารที่มีสภาพไม่ค่อยดี มีสนามบินแต่ไม่มีเครื่องบินลง ยิ่งตัวอำเภอบ้านตากไม่ต้องพูดถึงประมาณ 2 ทุ่มก็เงียบแล้ว ดึกๆถ้าหิวก็ต้องทำกินเองเท่านั้น แต่ในเรื่องของความเป็นมิตรของประชาชนถือว่าดีมาก หมอรุ่นก่อนๆเขามักบอกว่าคนบ้านตากหัวหมอแต่ผมมาอยู่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร มีปัญหาบ้างเล็กๆน้อยๆเท่านั้นและผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นก็จะช่วยสร้างความเข้าใจให้ได้ พอมาอยู่โรงพยาบาลบ้านตากพบว่ามีผู้มารับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 120 คนต่อวันจากประชากร 50,000 คนเท่าๆกับแม่พริกตอนที่ย้ายมามีประชากร15,000 คน ก็มาคิดว่าทำไมคนไข้น้อย แต่มีพี่แพทย์คนหนึ่งพูดว่า คนไข้น้อยแต่คนป่วยอาจจะมากก็ได้ ผมก็มาพิจารณาและก็เห็นจริงตามนั้นคือคนที่เจ็บป่วยส่วนหนึ่งไปรักษาที่อื่น ผมกับทีมงานก็เลยมาปรึกษากันและหาข้อมูลจากประชาชนผู้นำชุมชนและตกลงกันว่าเราต้องสร้างศรัทธาทั้งศรัทธาในกลุ่มเจ้าหน้าที่กันเองและศรัทธาจากประชาชน ด้วยการปรับปรุงบริการให้รวดเร็ว มีพฤติกรรมบริการที่ดี เข้าถึงบริการได้ง่าย พัฒนาศักยภาพบริการให้มากขึ้นพร้อมทั้ง พร้อมทั้งเข้าถึงชุมชนให้มากขึ้นเพื่อสร้างความคุ้นเคย ความยอมรับพัฒนาทั้งศักยภาพทางการแพทย์และศักยภาพทางการพูด โดยใช้แนวทางที่เรียกว่านโยบาย 4 C คือ Cleanความสะอาดปลอดภัยของอาคารสถานที่ Care คุณภาพบริการทั้งเทคนิคบริการและพฤติกรรมบริการ Cooperation ความร่วมมือกัน การทำงานเป็นทีมของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข Communityเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ดูแลสุขภาพของชุมชน การเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน โดยกำหนดปรัชญาของโรงพยาบาลบ้านตากว่าโรงพยาบาลชุมชน เพื่อชุมชน เพื่อสุขภาพดี เน้นการสร้างสุขภาพด้วยไม่ใช่แค่ซ่อมสุขภาพอย่างเดียว การกำหนดนโยบายอย่างชัดเจนทำให้เจ้าหน้าที่เห็นธงที่จะก้าวไป เพราะแต่เดิมเปลี่ยนผู้อำนวยการบ่อย พอเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนแนวทางทำงาน พอผมมาอยู่ก็เลยต้องตั้งธงให้ชัด ทั้งนี้ผมได้เน้นย้ำเสมอว่าเป้าหมายสูงสุดของเราคือโรงพยาบาลอยู่ได้ เจ้าหน้าที่มีความสุขและประชาชนมีคุณภาพชีวิตดี นั่นคือเราจะสร้างสมดุลทั้ง 3 ด้านนี้ไปพร้อมๆกัน แม้จะช้า แม้จะยากก็จะช่วยกันฝ่าฟัน ไม่ใช่เอาแค่โรงพยาบาลอยู่ได้ มีเงินบำรุงมากมาย โรงพยาบาลสวยหรูแต่เจ้าหน้าที่ทุกข์ งานสุขภาพของประชาชนบริการประชาชนแย่ หรือดูแลแต่ประชาชนจนเจ้าหน้าที่ทุกข์หรือโรงพยาบาลอยู่ไม่ได้ หรือไม่เอาแต่เจ้าหน้าที่สบายโดยไม่มองประชาชนจากการพัฒนาระบบบริการในเรื่องอาคารสถานที่ การต้อนรับพูดจา ตรวจตรงเวลา ปรับเวลาราชการให้สอดคล้องกับเวลาราษฎร ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวบ้านที่จะอยู่อย่างง่ายไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากนักผิดกับราชการที่มีระเบียบกฎเกณฑ์มากเมื่ออกมาให้ชาวบ้านปฏิบัติตามก็ทำให้เกิดการไม่ปฏิบัติตามได้ง่ายซึ่งโรงพยาบาลต้องปรับตัวและอะลุ่มอล่วยไม่เถรตรงเกินไป ในปีแรกมีคนไข้เฉลี่ยจาก 120 คนเป็นกว่า 200 คน อัตราครองเตียงจาก 60% กลายเป็น 120 % ทำให้เกิดภาวะคนไข้ล้นเตียง แออัด ให้ไปนอนโรงพยาบาลจังหวัดก็ไม่อยากไปและไกลบ้าน แม้ไม่ต้องเสียค่ารักษา ไม่เสียค่ารถก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่อยู่ที่กินจิปาถะ ยังไงก็ขออยู่ที่บ้านตากดีกว่า บางทีในความรู้สึกของคนมีเงิน มีรถยนต์ส่วนตัว หรือคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีรถโดยสารสะดวกอาจมองว่าระยะแค่ 20-30 กิโลเมตรนี่เป็นระยะทางใกล้ๆ เดี๋ยวเดียวก็ถึง แต่ในความรู้สึกของประชาชนคนยากจนเขากลับมองว่ามันไกลมากสำหรับเขา ผมกับทีมงานก็เลยมานั่งคิดกันว่าเราต้องพัฒนาโรงพยาบาลเพราะคนส่วนใหญ่ที่มีทางเลือกไม่มากจะได้มาใช้บริการที่โรงพยาบาลเราอย่างสบายใจ.....
ติดตามฉบับเต็มได้ใน www.bantakhospital.com ครับ
ช่วยกรุณา เล่าใน บล็อกเขียนใหม่ก็ได้ เกี่ยวกับ
ความร่วมมือกับชุมชน ด้านสมุนไพร และ พัฒนาการ หรือ บทเรียนก็ได้
เช่น อะไร ที่นิยมใช้ 5-10 ลำดับ แรก ในระดับหมอบ้าน และ แพทย์ ใช้แตกต่างกันอย่างไร ใช้ใครช่วยแปรรูป เภสัชกร เครื่องมือ ลงทุนซื้อไว้อย่างไร
กระจายสมุนไพรแปรูปแล้วอย่างไร สอ.สนใจ หรือไม่
ประสบการณ์ คุณหมอพิเชษฐ์เอง หลายปีนี้ ใช้สมุนไพรอะไร มากที่สุด และจะเชียร์หมู่คณะแพทย์พยาบาลให้หันมาใช้สมุนไพร อะไรกับผป.
ผมจะได้ขอเรียนรู้จาก สุดยอดรพ.แห่งชาติ (จากใจจริงน่ะครับ )