ราชาวดี : ดอกไม้ของพระราชา


ท้ายสุดนี้ผมกลับมาดูภาพถ่ายของตัวเอง รู้สึกว่าพระเอกของภาพจะไม่ใช่ราชาวดี แต่กลับเป็นสรรพสัตว์มากมายที่มาอิงแอบอาศัยอยู่กับต้นไม้ของพระราชานี้ มันก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะการเป็นพระราชาหรือผู้ปกครองไม่ว่าในระบอบใดนั้น หัวใจอยู่ที่ประชาชน อำนาจแห่งทองราชาวดีนั้นมีไว้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้กับประชาชน ซึ่งหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ดุลภาพแห่งอำนาจก็จะสั่นคอนเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ปกครองของประเทศแถบตะวันออกกลางในขณะนี้ และการที่จะประกันได้ว่าผู้ปกครองนั้นจะมองเห็นประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็คือการมีระบบที่ประชาชนต้องเป็นผู้เลือกตัวผู้ปกครองนั้นเอง มิใช่ปล่อยให้ฟ้าเป็นผู้ลิขิต นี่เป็นแนวคิดที่ทำให้มนุษย์เดินดินเดินทางสู่ดวงจันทร์ แต่วันนี้หลายๆท่านกำลังคิดทวนกระแส และยึดติดกับตัวบุคคลมากเกินไป จนหลงลืมหลักการของระบบที่ดีและควรจะเป็น คนไทยกำลังทำลายระบบและเลือกตัวบุคคล นั่นเป็นสิ่งอันตรายอย่างที่สุด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Buddleja paniculata Wall.

ชื่อวงศ์ : Loganiaceae

ชื่อสามัญ : Butterfly Bush, Byttneria, Summer lilac

ชื่อพื้นเมือง : ราชาวดี, ไค้หางหมา, หางกระรอกเขมร

ถิ่นกำเนิด : เขตร้อนของทวีปเอเชีย

 

 

วันนี้มีดอกไม้ที่ไม่ต้องแนะนำให้รู้จักเพราะใครๆก็คงรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว นั่นคือต้น "ราชาวดี" พรรณไม้หอมที่ได้รับความนิยมปลูกกันมากมายจนเกือบกลายเป็นไม้สามัญประจำบ้านไปแล้ว ถึงแม้จะมีคนจำนวนมากที่ไม่ชอบราชาวดีเอาเสียเลยก็ตามที

 

 

ความฮิตติดลมบนและความน่ารังเกียจเดียดฉันของราชาวดี เกิดจากกลิ่นหอมฉุนรุนแรงของดอกราชาวดี ที่ขยันเบ่งบานได้ทั้งปีทั้งชาติ หากได้รับแสงแดดเต็มวัน ข้อมูลใน Internet ส่วนมากระบุว่า ราชาวดีหอมอ่อนตอนกลางวัน และหอมแรงตอนกลางคืน ผมก็อยากแก้ไขให้เสียใหม่ว่า "ราชาวดีหอมแรงตอนกลางวัน และหอมอย่างรุนแรงตอนกลางคืน" เพราะไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน หากใครปลูกราชาวดีก็จะได้กลิ่นหอมโชยมาตามลมโดยไม่ต้องเดินไปดมไกล้ๆแต่อย่างใด แต่กลิ่นเป็นเรื่องของรสนิยม เหมือนความชอบในทุเรียน ซึ่งเหตุผลเดียวกันสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนบางคนถึงหลงรักราชาวดีหัวปักหัวปำ แต่บางคนยอมลงทุนทะเราะกับเพื่อนบ้านที่ปลูกราชาวดี แต่สำหรับใครที่จมูกแพ้ง่ายผมแนะนำว่าอย่าปลูกเลยหาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ ผมเองก็แพ้กลิ่นราชาวดีหากเป็นหวัดแล้วได้กลิ่นจะอยากไอขึ้นมาทันทีเลย แต่ก็ปลูกเพราะ "ชอบ" จบข่าว

 

 

สำหรับการปลูกดูแลราชาวดีนั้น ก็ต้องขยันตัดกันหน่อย เพราะราชาวดีเป็นไม้กึ่งเลื้อย และทอดกิ่งไม่มีรูปแบบแน่นอน จึงต้องตัดแต่งให้เป็นทรงแทบทุกครั้งหลังออกดอกไปแล้ว จะตัดให้เป็นพุ่มๆ หรือจะเลี้ยงให้ลำต้นใหญ่ๆทรงสูงๆก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล ขอเพียงน้ำไม่ขัง และได้รับแสงแดดเต็มๆเท่านี้ราชาวดีก็จะออกดอกให้ดอมดมจนเบื่อกันไปข้างหนึ่งเลย

 

 

ชื่อที่ชาวโลกส่วนใหญ่เรียกราชาวดีคือ "Butterfly Bush" หรือไม้พุ่มผีเสื้อนั้น ก็เพราะราชาวดีเป็นไม้เรียกผีเสื้อตัวเอ้เลยทีเดียว หากปลูกราชาวดีคุณจะได้ชื่นชมกับผีเสื้อและผองเพื่อนชาวแมลงนานาชนิดเลยทีเดียว แบบที่ผมนำมาให้ชมในเซตนี้ ขอบอกถ่ายดอกไหนก็เจอแต่แมลงครับ

 

 

ราชาวดี นั้นเป็นไม้ต่างถิ่นที่สันนิษฐานว่านำเข้ามาปลูกในบ้านเราในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าผู้ใดนำเข้ามา และเพราะกลิ่นที่หอมสะท้านทรวงใครหลายคน และความที่ปลูกง่ายไม่มีโรคแมลงรบกวน ให้ดอกตลอดปี ราชาวดีจึงแพร่หลายเกือบกลายเป็นไม้สามัญประจำบ้านชนิดหนึ่งเลยทีเดียว แต่เหตุที่ไม่ได้เป็นเพราะหลายๆบ้านที่ชอบราชาวดี แต่ต้องตัดทิ้งไปเพราะเบื่อจะวิวาทะกับคนบางคนในบ้าน หรือเพื่อนบ้านบางคน ที่ทนไม่ได้กับความหอมไม่บันยะบันยังของราชาวดี

 

 

ชื่อ "ราชาวดี" นั้นเป็นนามที่ไพเราะยิ่งนักสำหรับผม แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดเป็นคนตั้ง หรือตั้งชื่อนี้ด้วยเหตุผลกลใด ซึ่ง "ราชาวดี" นั้น เป็นคำที่มีความหมายว่า "ของที่มีขึ้นสำหรับพระราชา" หรือ "ของพระราชา" แต่จากหลักฐานที่ปรากฏ ชื่อ "ราชาวดี" นั้น เริ่มปรากฏในเอกสารภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศไทยผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว ชื่อนี้จึงมิน่าจะเกี่ยวข้องกับราชสำนักเท่าไรนัก

 

 

แต่หากคำว่า "ราชาวดี" นั้นเป็นคำที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่านั้นมากมายนัก ราชาวดี เป็นชื่อของเครื่องโลหะลงยาสีฟ้า ซึ่งมักเป็นทองหรือเงิน เป็นเครื่องใช้สำหรับพระราชาเท่านั้น สามัญชนไม่มีสิทธิครอบครอง เป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจในการปกครองแผ่นดิน

 

 

แต่ก็ไม่ทั้งหมดสำหรับสามัญชน นอกจากพระบรมวงศ์ชั้นสูงแล้ว ยังมีขุนนางราชสำนักในตำแหน่งหนึ่งคือ "สมเด็จเจ้าพระยา" ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์สูงสุดสำหรับการรับราชการ ซึ่งจะได้รับพระราชทานเครื่องประกอบบรรดาศักดิ์ทองคำลงยาราชาวดีเช่นเดียวกับพระราชา

 

 

โดยตำแหน่ง "สมเด็จเจ้าพระยา" นั้น เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช และผู้รับตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยาคนแรกก็คือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งต่อมาปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1)

 

 

จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้รับอิสริยศเป็น "สมเด็จเจ้าพระยา" อีก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) จึงได้มีการแต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ บุนนาค) ขึ้น และต่อมาในรัชสมัยเดียวกันได้แต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ(ทัต บุนนาค) เป็นท่านต่อมา

 

และผู้ดำรงค์ตำแหน่งสูงศักดิ์นี้ท่านสุดท้ายก็คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ซึ่งดำรงค์ตำแหน่งในช่วงต้นรัชสมัยรัชกาลที่ 5 และยังรั้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอีกด้วย รวมแล้วมีผู้ดำรงค์บรรดาศักดิ์นี้เพียงสี่ท่านเท่านั้นตั้งแต่แผ่นดินกรุงธนบุรีจนถึงรัตนโกสินทร์

 

 

สอดแทรกเรื่องราวมาถึงตรงนี้พอมองเห็นอะไร??? บ้างไหมครับ... ว่าสมเด็จเจ้าพระยาผู้ได้ครอบครองเครื่องทองราชาวดี ที่แต่เดิมมาจัดทำเพื่อพระเจ้าแผ่นดินเพียงเท่านั้น นอกจากเครื่องทองแล้วผู้ดำรงค์ตำแหน่งนี้ยังมีคำใช้เฉพาะคล้ายๆราชาศัพท์ มีพระกลดกางกั้น มีพระแสงราชอาญาสิทธิ์... ใช่แล้วครับ ทองราชาวดีและสิ่งเหล่านี้ซึ่งสูงส่งเทียบชั้นเจ้าฟ้า เป็นสิ่งสัญลักษณ์แห่งอำนาจ สิ่งมีค่าสูงสุดของแผ่นดินที่หอมหวานยั่วยวนให้ปราถนาครอบครอง

 

 

การเปลี่ยนถ่ายแผ่นดินในสมัยก่อนการขึ้นครองราชของรัชกาลที่ 4 เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่สมดุลทางอำนาจ การไม่สามารถสั่งสมกำลังได้มากพอที่จะเทียบกับดุลอำนาจเดิมได้ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยออกผนวชเป็นระยะเวลายาวนาน เหมือนกับหลายๆกรณีที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้านึกไม่ออก ก็นึกถึงหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรนะครับ ก็จะเห็นว่าการออกผนวชของเจ้าฟ้าที่มีสิทธิ์ในราชบังลังก์เพื่อความอยู่รอดนั้นเป็นเรื่องปกติ ความไม่สมดุลทางอำนาจนี้เองทำให้ในรัชสมัยนี้มีการแต่งตั้งขุนนางตระกูลใหญ่ขึ้นมาดำรงค์ตำแหน่งที่ทรงอำนาจดังกล่าว เพื่อปรับดุลยภาพทางอำนาจใหม่ และขุนนางสกุลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลก็จบตำนานบทดังกล่าวนั้นลงหลังจากรัชกาลที่ 5 ทรงสามารถรวบอำนาจการปกครองได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยพระปรีชาสามารถอย่างหาที่สุดมิได้ หากอยากรู้ว่ารัชกาลที่ 4 และ 5 พระองค์ท่านทำเช่นไรในการพลิกเกมส์แห่งอำนาจนั้นได้ ก็ลองศึกษาจากรายวิชา "ประวัติศาสตร์การเมืองไทย" นะครับ มันยาวมากผมขี้เกียจพิมพ์ แต่สนุกมากเป็นการชิงไหวชิงพริบระหว่างอำนาจขุนนางกับราชวงศ์ไม่ต่างจากในหนังเกาหลีย้อนยุคเย็นวันเสาร์อาทิตย์เลยครับ

 

 

หลายๆคนหลงเข้ามาอ่าน อาจสับสนและตั้งคำถามว่า การเป็นพระราชามิได้มีอำนาจล้นฟ้าเช่นนั้นหรือ คำตอบคือ... ไม่ใช่ครับ ในระบอบการปกครองโบราณแบบที่มีพระราชาปกครอง และส่งต่ออำนาจโดยการสืบสันตติวงศ์นั้น ส่วนมากแล้วอำนาจมักจะอยู่กับกลุ่มขุนนางเป็นส่วนใหญ่ เพราะขาดระบบการจัดการกำลังพล แรงงาน ที่ดิน และการคลังที่ดี สุดท้ายทั้งอำนาจและผลประโยชน์ก็ไปตกแก่ขุนนาง ทำให้ระบบการปกครองแบบโบราณมีความอ่อนแอเป็นอย่างมาก เพราะว่าผู้ปกครองไม่สามารถกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนาประเทศได้อย่างที่ควรจะเป็น เช่น หากผู้ปกครองต้องการปรับระบบการจัดเก็บภาษีเป็นอัตราก้าวหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ แล้วนโยบายดังกล่าวไปกระทำผลประโยชน์ของกลุ่มขุนนางซึ่งมีรายได้มาก นโยบายนั้นๆก็มักเป็นหมันไป และหากจะถามว่าทำไมกลุ่มขุนนางถึงมักเป็นอุปสรรค์ในการพัฒนาประเทศในยุคโบราณ คำตอบก็คือ... เพราะอำนาจที่กลุ่มขุนนางหรือผู้นำกลุ่มขุนนางมีนั้นไม่ชอบธรรม และการจะรักษาอำนาจที่ไม่ชอบธรรมเอาไว้ได้นั้น จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากหลายๆฝ่ายที่มีอำนาจ และเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ผู้นำขุนนางจึงต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้สนับสนุนตนเอาไว้ เช่น หากกลุ่มพ่อค้ายาบ้าให้การสนับสนุนตน ผู้นำขุนนางก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อจะไม่ให้มีการปราบยาบ้าอย่างจริงจัง จับแต่ปลาซิวปลาสร้อยไม่สาวถึงตัวการ ระบบสมดุลของอำนาจที่ถ่วงความเจริญนี้เองเป็นคำตอบว่า ทำไมในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากพระองค์รวบอำนาจการปกครองได้สำเร็จประเทศชาติจึงเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนประเทศไทยสมัยนั้นเทียบชั้นได้กับประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว

 

 

พูดถึงประเทศญี่ปุ่น และเรื่องราวการออกผนวชที่เกี่ยวข้องกับเกมส์ทางอำนาจ ให้นึกถึงการ์ตูนเรื่อง "อิคิวซัง" นะครับ พล๊อตเรื่องอิคิวซังนั้น ให้อิคิวเป็นบุตรของสมเด็จพระจักพรรดิ ที่ออกบวชในนิกายเซ็น และโชกุนโยชิมิซึให้ซามูไรชื่อชินเนม่อนคอยจับตาดูอิคิวเอาไว้ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเกมส์การเมือง ซึ่งตอนเด็กๆที่ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้ ยอมรับว่าไม่เข้าใจว่าทำไมโชกุนจึงพยายามจะข่มอิคิมนักหนา และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมขุนนางจึงไม่ยำเกรงต่อพระจักพรรดิ แต่ตอนนี้เข้าใจล่ะ ว่าญี่ปุ่นโบราณจัดการกับความวุ่นวายทางการเมืองระหว่าอำนาจขุนนางกับอำนาจที่สืบทอดทางสายเลือด ด้วยการยกพระจักพรรดิให้เป็นสัญลักษ์ของประเทศและตัวแทนศาสนาความเชื่อ ส่วนอำนาจการปกครองนั้นอยู่กับผู้นำขุนนางในตำแหน่งโชกุน และญี่ปุ่นโบราณก็ทำได้สำเร็จ ด้วยความยิ่งใหญ่ที่ไม่แพ้ชาติใดในเอเซียโบราณ จนถึงสมัยที่โชกุนคืนอำนาจให้จักพรรดิ และจักพรรดิที่สืบอำนาจทางสายเลือดก็นำพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกและหายนะในที่สุด

 

 

และนั่นคือปัญหาของระบบการปกครองโดยพระราชาที่สืบทอดอำนาจทางสายเลือด เพราะ... เราไม่สามารถเลือกตัวผู้ปกครองได้ ความอ่อนแอของระบบอันเกิดจากความสามารถและพฤติกรรมของผู้ปกครองจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ต่างจากระบบการสืบทอดอำนาจขุนนางแบบโชกุนที่ต้องมีการแข่งขันเพื่อช่วงชิงอำนาจมาเป็นของตน มันจึงเป็นการประกันได้ระดับหนึ่งว่าโชกุนจะต้องเก่งกาจพอสมควรจึงขึ้นมามีอำนาจในตำแหน่งนั้นได้ แต่ระบบโชกุนที่เก่งกาจก็มีปัญหาเรื่องการรับผิดชอบต่อกลุ่มอำนาจตนเองเท่านั้น ระบบประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชนเป็นผู้เลือกตัวผู้ปกครองที่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อประชาชน

 

 

จากราชาวดีมาถึงทองลงยาของพระราชา ไม่รู้มาไกลถึงญี่ปุ่นได้ยังไงกันนะ ไหลไปเรื่อยเลย อะไรอยู่ในหัวก็ไหลๆออกมา ไม่รู้จะจบยังไงล่ะตอนนี้ เอาเป็นว่าจบแบบการบ้านการเมืองดีกว่านะ...แรงดี.. หลายๆคนอาจสงสัยว่าทำไมการเมืองบ้านเราช่วงนี้มันถึงวุ่นวายกันเหลือเกิน เล่นกันบ้านเมืองพังพินาจย่อยยับกันเลย ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ การเมืองมันก็มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดอยู่สองอย่าง คือ อำนาจ และ ผลประโยชน์ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้ ใครวิเคราะห์การเมืองโดยมองไปที่เรื่องคุณธรรมจริยธรรมมันก็บ้าแล้วครับ มันไม่ใช่นิยามของการเมือง ฉะนั้นใครมาอ้างความดีความชั่วทางการเมืองมันก็ตอแหลล่ะครับ...ขอบอก ไม่ว่าใครที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็หมายตา "ทองลงยาราชาวดี" ด้วยกันทั้งนั้นหล่ะ เพราะว่าสมดุลทางอำนาจในบ้านเมืองของเรากำลังปรับเข้าสู่สมดุลใหม่ ฝ่ายที่ดูเหมือนจะเสียทองลงยาสีฟ้าไปก็พยายามต่อสู้ยื้อมันเอาไว้ ฝ่ายที่ประเมินตนเองแล้วว่าข้าก็ไม่น่าจะแพ้ใคร ก็พยายามยื้อแย่งเครื่องทองนั้นมาครอบครอง บ้านเมืองจะสงบก็ต่อเมื่อใครสักคนได้ทองราชาวดีไปครอบครองแล้วเท่านั้นล่ะครับ ก็หวังเพียงมันจะฟลุ๊คว่าทองราชาวดีอันทรงคุณค่านี้ตกลงมาให้ประชาชนคนเดินดินได้ครอบครองบ้างนะครับ เพราะถ้าวันนั้นมาถึง นั่นหมายความว่า "ผลประโยชน์ของชาติจะต้องตกเป็นของคนส่วนใหญ่ของประเทศ" ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่เมื่อวันนั้นยังมาไม่ถึง เราไม่อาจครอบครองทองราชาวดีได้ แต่เราหาต้นราชาวดีมาปลูกที่บ้านได้นะครับ ถ้าไม่มีใครในบ้านหรือข้างๆบ้านฉุนกับกลิ่นหอมเกิ้น...ของดอกไม้ของพระราชานี้เสียก่อน

 

 

ท้ายสุดนี้ผมกลับมาดูภาพถ่ายของตัวเอง รู้สึกว่าพระเอกของภาพจะไม่ใช่ราชาวดี แต่กลับเป็นสรรพสัตว์มากมายที่มาอิงแอบอาศัยอยู่กับต้นไม้ของพระราชานี้ มันก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะการเป็นพระราชาหรือผู้ปกครองไม่ว่าในระบอบใดนั้น หัวใจอยู่ที่ประชาชน อำนาจแห่งทองราชาวดีนั้นมีไว้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้กับประชาชน ซึ่งหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ดุลภาพแห่งอำนาจก็จะสั่นคอนเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ปกครองของประเทศแถบตะวันออกกลางในขณะนี้ และการที่จะประกันได้ว่าผู้ปกครองนั้นจะมองเห็นประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็คือการมีระบบที่ประชาชนต้องเป็นผู้เลือกตัวผู้ปกครองนั้นเอง มิใช่ปล่อยให้ฟ้าเป็นผู้ลิขิต นี่เป็นแนวคิดที่ทำให้มนุษย์เดินดินเดินทางสู่ดวงจันทร์ แต่วันนี้หลายๆท่านกำลังคิดทวนกระแส และยึดติดกับตัวบุคคลมากเกินไป จนหลงลืมหลักการของระบบที่ดีและควรจะเป็น คนไทยกำลังทำลายระบบและเลือกตัวบุคคล นั่นเป็นสิ่งอันตรายอย่างที่สุด

 

 
หมายเลขบันทึก: 482331เขียนเมื่อ 18 มีนาคม 2012 09:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กรกฎาคม 2012 13:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ชอบภาพ ผีเสื้อ กะราชาวดี งดงามมากๆ สุขสันต์นะคะ

โชคดีไม่แพ้เกสรดอกไม้

ชอบมาก  ตอนเลือกซื้อมาให้คนสวนโรงพยาบาลปลูกตรงกับหน้าต่างห้องทำงาน...หอมมาก

พอต่อเติมห้องทำงานออกมา  จึงขุดไปปลูกอีกที่หนึ่ง  หลังตึก  นาน ๆ จึงจะได้เดินผ่านไปชม  แค่เดินผ่านก็หอมแล้ว

บ้านเก่าก็มีในกระถาง  ปีน้ำมากรากน่าตายเฉยเลย 

เป็นหนึ่งในรายชื่อที่จะปลูกที่บ้านใหม่

คุณนกขมิ้นเขียนเรื่องเล่า "ราชาวดี"  เกี่ยวพันกับอำนาจน่าอ่านมาก  ทว่ากว่าประชาชนจะมีการเรียนรู้ทีแท้จริง  ใช้อำนาจตนเป็นในสิ่งที่ควร....เฮ้อ ชาตินี้จะเห็นไหมเนี่ย

เป็นไม้ดอกหอมที่คุณแม่ผมชอบมาก สมัยอยู่กรุงเทพ คุณแม่จะปลูกใส่กระถางใหญ่ ๆ เวลาออกดอกจะหอมตลบไปทั้งบ้าน

ถ่ายรูปได้สวยมากครับ

สังเกตดอกไม้สีขาวมักจะมีกลิ่นหอมนะ ต้นที่ว่านี่ กลิ่นหอมขนาดนั้นเลยหรือ บันทึกนี้ดูภาพอ่อนหวาน แต่บางคำก็แรงเนาะ อิอิ

(ตรงที่มีการเมืองน่ะค่ะ) ไม่น่าเชื่อว่า คุณนกขมิ้น จะใช้คำนั้นเป็นด้วย!!!!!!!!!! เหรอเนี่ย 5555 เล่นเอาคนอ่านคนนี้ อึ้งไป เลย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท