โรคเบาหวาน(Diabetes)
โรคนี้เกิดจาก ความผิดปกติของฮอร์โมน Insulin ซึ่งซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเผลาผลาญคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นสารตัวกระทำในคาร์โบไฮเดรท มีผลต่อการเผาผลาญไขมันเปลี่ยนการทำงานของตับให้ทำหน้าที่เก็บหรือปลดปล่อยกลูโคส และทำให้เกิดการทำงานของลิพิด (ไขมัน) ในเลือดและในเนื้อเยื่ออื่น เมื่อฮอร์โมนนี้ขาดร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้ จึงมีน้ำตาลในเลือดสูง และปล่อยออกมาทางปัสสาวะ
อาการของโรคเบาหวาน
กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
ควรที่จะได้รับการตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือดทุก 3 ปี
ชนิดของโรคเบาหวาน
โรคแทรกซ้อน
บทบาทนักกิจกรรมบำบัด
ประเมินผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยใช้กรอบอ้างอิง Biopsychosocial model ในการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆของผู้ป่วยดังนี้
Biopsychosocial model
Biological: ฮอร์โมน Insulin ในร่างกายผิดปกติ ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง, และเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง รวมถึงเมื่อเกิดบาดแผลจะทำให้แผลนั้นหายได้ยาก, บางคนมีโรคอ้วนเกิดขึ้นร่วมด้วย ทำให้มีอาการล้าในการทำกิจกรรม มีปัญหากับกระดูกและข้อต่อ
Psychological: ความเครียดจากสภาพจิตใจไม่ควรให้เกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเบาหวานมักจะมีโรคความดันสูงร่วมด้วย อาจทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ การสร้างความคิดในการควบคุมน้ำตาลจากการกินก็มีส่วนช่วยลดปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น
Sociological : อาหารจานด่วนจากตะวันตก เป็นค่านิยมที่สร้างให้บริบทสังคมไทยมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น และคนที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วก็ทำให้แย่ลงไปอีก
จากนั้นก็ประเมินการทำกิจวัตรประจำวัน ว่าสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ หรือลดลง ถ้าลดลงให้ทำการให้แผนการบำบัดฟื้นฟูตามส่วนที่สำคัญให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้
ให้คำแนะนำทั้งผู้ป่วย และญาติเกี่ยวกับโปรแกรมการออกกำลังกายร่วมกับนักกายภาพบำบัด รวมถึงการจัดท่าทางในการนั่ง – นอนเพื่อป้องกันแผลกดทับ
ปรับสภาพแวดล้อมต่างๆให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้แรงมากในการเอื้อมหยิบจับ และลดกิจกรรมที่ใช้พลังงานมาก ควบคุมเมนูอาหารให้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และเมื่อทำการให้คำแนะนำ บำบัดฟื้นฟูแล้ว ก็นัดผู้ป่วยกลับมาประเมินอีกรอบเพื่อดูผลลัพธ์ การตั้งเป้าประสงค์ที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยเบาหวาน
ไม่มีความเห็น