พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์ขอมที่อพยพหนีเขมรมาจากนครวัด...ประมวลสรุปหลักฐานสำคัญ


ป่านนี้วิญญาณของ จอร์จ เซเดส์ คงนอนอมยิ้มที่ได้เห็นหน่อเนื้อวิชาการ เรื่องเขมร ที่เขาได้หว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ ได้หยั่งรากลึก และงอกงามในสมองนักวิขาการไทยได้ถึงปานนี้

ข้าพเจ้าได้เขียนบทความไว้มากหลายเพื่อแสดงหลักฐาน เหตุผล สนับสนุนแนวคิดสามประการคือ

1) สยามคือขอมตัวจริงที่สร้างนครวัด นครธม

2) เขมรนั้นไม่ใช่ขอมแต่เป็นผู้ฆ่าขอมตายเรียบต่างหาก และ

3) พระเจ้าอู่ทองผู้สร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นขอมที่อพยพหนีมาจากนครวัด 

 

ข้าพเจ้าได้เขียนบทความมากหลายแสดงหลักฐาน โดยตรง อ้อม พร้อมบริบท  เหตุผลประกอบ ว่าขอมกับสยามเป็นเชื้อชาติเดียวกันมานาน บัดนี้ขอมไม่ได้หายสาปสูญไปไหน แต่หลอมรวมมาเป็นเชื้อเหล่าเผ่าไทยในวันนี้นี่เอง  

 

แต่ฝรั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคม ได้ใช้นักวิชาการรับจ้างอย่างจอร์จ เซเดส์ ยกความเป็นขอมไปให้”เขมร” เพื่อประโยชน์ต่อการล่าอาณานิคม เสริมด้วยการทูตแบบเรือปืน (gunboat diplomacy)  ...ส่วนนักวิชาการไทยเรา ก็ไม่มีใครกล้าค้านทฤษฎีฝรั่ง  ต่างสยบศิโรราบยอมรับทฤษฎีฝรั่ง (เศส) กันหมด ..ทั้งที่หมดยุคเรือปืนแล้ว

 

น่าท้อแท้ต่อความอ่อนแอของนักวิชาการไทย เสียจริง ที่ไม่ค่อยคิดอะไรได้ใหม่ๆนอกจากคิดตามฝรั่งไปแบบเชื่องๆ จนลงคะแนนกันว่า เขมรคือขอม และสยำเป็นทาสขอม  ต้องส่ง”ส่วย”

....ถ้าจะมีใครมาคิดต่างแบบตรงข้ามอย่างข้าพเจ้า ก็จะถูกขย่มตราหน้าว่า

 

1)       เป็นพวกคลั่งชาติ

2)       เป็นใครมาจากไหน ถึงได้กล้ามาท้าทายความเห็นของนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่อย่าง จอร์จ เซเดส์ จิตร ภูมิศักดิ์ หรือ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

3)       หรือไม่ก็อ้างแบบอิงสันติว่ามาพูดคิดแบบนี้ทำไม เพราะมันสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจก่อสงคราม

 

บัดนี้เป็นการเหมาะที่จะเอาเศษกระเบื้องแตกหลายชิ้นมา “ปะติดปะต่อ” พอให้เห็นภาพรวมกันลางๆ  ...ท่านใดมีปัญญาบารมี ก็ช่วยกันคิด ทำ ต่อไป ให้เห็นภาพชัดยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ หาไม่แล้วก็สุดแท้แต่เวรกรรมของชนชาตินี้ก็แล้วกัน

 

ยุคโบราณก่อนประวัติศาสตร์

เริ่มแต่สภาพภูมิประวัติศาสตร์ในภาพรวมก่อนนครวัด 3000-200 ปี  มีดินแดนที่ข้าพเจ้าขอเรียกว่า “เส้นพระธรรม” (The dhamma belt) ที่ต่อแนวกันจากนครปฐม มาลพบุรี  ไปเมืองเสมา (อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา) ไปพิมาย โดยมีติ่งที่ศรีมโหสถ (อ.โคกปีบ จ.ปราจีนบุรี)...โดยแนวเส้นพระธรรมนี้เจริญผ่านยุคสำริดและยุคเหล็กมาอย่างโชกโชน ดังหลักฐานหลายร้อยหลุมขุดค้นที่พบโดยนักโบราณคดีทั้งไทยและเทศ  

 

ในช่วงพุทธกาล อารยธรรมเส้นพระธรรมนี้นับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก โดยมีฮินดูปนบ้างเล็กน้อย ในช่วงหลังกลายมาเป็นอารยธรรมที่เราเรียกกันว่า “ทวาราวดี” ทางตอนกลาง  และ “ศรีวิชัย” ทางตอนใต้

 

ในช่วงก่อนยุคประวัติศาสตร์นั้น ดินแดนรอบๆนครวัดในภาพรวมยังล้าหลังกว่าเส้นพระธรรมมาก มีการขุดค้นพบอารยธรรมยุคเหล็กประปรายเบาบางกว่าเส้นพระธรรมมาก  นี่เป็นพื้นฐานว่าความเจริญของนครวัดนั้นเกิดจากการแพร่ของเทคโนโลยีและอารยธรรมจากเส้นพระธรรมเข้าไป โดยเฉพาะจาก ลพบุรี และ พิมาย เมื่อประมาณ คศ. 1000 หรือประมาณ 1000 ปีมาแล้วนี่เอง ซึ่งตามหลักฟิสิกส์นั้นการแพร่ย่อมแพร่จากที่เข้มข้นสูงไปสู่ที่เข้มข้นต่ำเสมอ

 

เริ่มยุคประวัติศาสตร์ (ที่มีการจารึกด้วยอักษร)

กษัตริย์องค์แรกแห่งนครวัดคือ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ซึ่งไม่มีบันทึกร่วมสมัยว่ามาจากไหน แต่มีบันทึกอ้างถึงเป็นครั้งแรกที่ปราสาทหินสด๊กก๊กธม (อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว) เมื่อ 200 ปีให้หลังว่า มาจาก “ชวา”  ซึ่งนักวิชาการฝรั่งส่วนใหญ่ (และนักวิชาการไทยส่วนใหญ่ที่ถูกสะกดจิตตามบัญชาฝรั่งก็ว่าตาม) ก็ฟันธง (แบบง่ายๆ ตามกระแส) ทันทีว่ามาจากเกาะชวาของอินโดนีเซีย

 

ประวัติศาสตร์มันคงไม่ง่ายปานนั้นดอก  ควรต้องตีความกันว่า ชวา ที่จารึกนั้นหมายถึงอะไร ใช่เกาะชวาในอินโดฯหรือไม่ ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่าดินแดนประเทศลาวนั้นครั้งหนึ่งก็เคยถูกเรียกว่า ชวา กะเขาด้วย อีกทั้งยังมีนักประวัติศาสตร์บางท่านเสนอว่า ชวาในที่นี้หมายถึง ชยา หรือ ไชยา ต่างหาก และกษัตริย์จากไชยานี่แหละที่ไปสร้างบรมพุทโธ (โบโรบุทโธ) ที่ “เกาะชวา”   และนำเอาพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ไปเที่ยวด้วย จากนั้นก็มาสร้างนครวัด

 

ในขณะที่นักวิชาการฝรั่งที่โดดเด่นอย่าง ชาร์ล ไฮแอม  (charles higham) ก็แย้งว่าไม่น่าใช่ชวา แต่มาจาก ชมา หรือ จาม (แขกจามทางตอนใต้ของเวียตนาม) ต่างหาก

 

แต่ข้าพเจ้าเองยังมองเห็นความเป็นไปได้ว่าทรงมาจาก ลวา หรือ ลวะ หรือ ลพะ หรือ ลพบุรีนี่เอง เสียมากกว่า เพราะมันมีความเป็นไปได้มากกว่ากันถ้ามองในเชิงภูมิประวัติศาสตร์   

 

สรุปคือเรื่องนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุปง่ายๆ ตามภาษาเขียน  ต้องมองปัจจัยอื่นประกอบด้วย  แต่ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วจะมาจากเกาะชวา อินโดนีเซียก็ไม่เห็นเป็นไร  ก็ยังไม่ขัดกับทฤษฎีหลักการที่ข้าพเจ้าเสนอหรอก ว่า ขอมคือสยาม ..เรียกว่า มันคนละประเด็นกันเลย  (เราต้องไม่หลงประเด็นนะ อย่าเอาเรื่องล็กๆ หยุมหยิมมาลบล้างหลักการใหญ่ พวกนี้อย่างมาก็เป็นเพียง "ปัจจัยเสริม" เท่านั้น)

 

ไม่ว่าอาณาจักรขอมจะเริ่มมาอย่างไร สมจริงตามที่นักวิชาการฝรั่งปั้นมาแบบพร่าๆมัวให้เราเชื่อหรือไม่ก็ตาม  ประมาณ คศ 1000 ภาพเริ่มชัดขึ้นเป็นลำดับ (เริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกในแผ่นหิน)    พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กษัติรย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งแห่งนครวัดนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามาจากที่ไหน จู่ๆก็เข้ามาเป็นกษัตริย์ แถมยังเป็นกษัตริย์พุทธเสียอีก ทั้งที่เขาเป็นฮินดูกันทั้งเมือง

 

 ข้าพเจ้าเชื่อว่าทรงมาจากพิมาย  โดยพิมายส่งกำลังทหารมาช่วยยึดอำนาจนั่นเอง  เพราะพิมายในช่วงนี้นับถือพุทธแล้ว  ไม่เช่นนั้น สย. ๑ จะเอากองกำลังที่ไหนมาสนับสนุนการเป็นพุทธของท่าน ทั้งที่เขาเป็นพราห์มณ์กันทั้งเมืองก่อนหน้านี้  

 

...อีกทั้งสย. ๑ นี้มีหลักฐานว่าเป็นผู้เริ่มก่อสร้างปราสาทหินพิมายด้วย (ซึ่งเป็นปราสาทพุทธ)   ..อ้าว เป็นกษัตริย์ครองนครวัด แล้วทำไมไปสร้างปราสาทหินพิมาย แทนที่จะสร้างที่นครวัด?    อย่าลืมด้วยว่าป.พิมาย เริ่มสร้างก่อน ป. นครวัดประมาณ 100 ปี

 

[""แก้ไขเพิ่มเติมประมาณ 30 นาทีให้หลัง...อีกทั้งมีหลักฐานว่า สย. ๑ ทรงเป็นผู้เริ่มก่อสร้างปราสาทหินพิมายด้วย (ซึ่งเป็นปราสาทพุทธ)   ..อ้าว เป็นกษัตริย์ครองนครวัดที่เป็นพราห์มณ์  แล้วทำไมไปสร้างปราสาทหินพิมายที่เป็นพุทธ  แทนที่จะสร้างที่นครวัด?   แสดงว่า ทรงต้องการสร้างอะไรที่เป็นพุทธในนครวัด แต่ทำไม่ได้ เพราะจะถูกประชาชน อำมาตย์ที่ส่วนใหญ่เป็นพราห์มณ์ต่อต้าน ก็เลยต้องไปสร้างที่ “เมืองแม่” (พิมาย) .... อย่าลืมด้วยว่าป.พิมาย เริ่มสร้างก่อน ป. นครวัดประมาณ 100 ปี]

 

80 ปีต่อมา มีสลักในแผ่นหินบอกว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 6  มาจากพิมาย (ซึ่งนักวิชาการฝรั่งก็ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว)  โดยท่านมีพระราชบิดาพระนามว่า “กัมพู สวายามภูวา”   (ชื่อ สวายาม นี้น่าพิศวงมาก เพราะมันช่างพ้องกับคำว่า สยาม เสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า  คำว่า สยาม มาจากคำนี้แหละ..โปรดอ่านต่อ)

 

นักวิชาการฝรั่งสันนิษฐานว่า ชย. ๖  มาจากการยึดอำนาจ ข้าพเจ้าเลยขอเสริมว่าพิมายส่งทหารเข้ามาช่วยยึดอำนาจ (คืน)  แล้วบรรดาทหารและครอบครัวที่อพยพมาอยู่ด้วยก็เลยถูกเรียกว่าพวก (ลูกหลานของ)  “สวายาม”   มาแต่บัดนั้น ส่วนคำว่ากัมพูนั้น เขมรอ้างเอาไปเป็นชื่อประเทศไปแล้ว

 

ชย. ๖ นี้เชื่อกันว่า คือผู้มาสานต่อการสร้างปราสาทหินพิมายจนเกือบแล้วเสร็จ  (ราว คศ. 1100 ก่อนสร้างปราสาทนครวัดสัก 50 ปี)   รวมทั้งสร้างทางด่วนยาว 200 กว่ากม. เชื่อมพิมายกับนครวัดด้วย  หลักฐานยังมีให้เห็นจนทุกวันนี้ แสดงว่าทรงมาจากพิมายแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่ผูกพันไปลงทุนสร้างอะไรให้กันใหญ่โตปานนี้ดอก

 

คศ. 1115 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทนครวัด) ก็มีจารึกว่าไปจาก “ลพบุรี”  (อ้างใน Wikipedia ที่ดูเหมือนว่านักวิชาการฝรั่งยอมรับกันหมดแล้ว)  (แต่ครองราชย์ห่างจาก สย. 1 ประมาณ 70 ปี) ทรงทำสงครามกับพวกจามมากที่สุด และคงจับเอาพวกจามมาเป็นทาสมาก เอาแรงงานมาสร้างปราสาทหินนี่เอง  แต่ตอนหลังพวกทาสนี่แหละที่จะกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ และกลายมาเป็นเขมรในที่สุด

 

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ผู้ยิ่งใหญ่ที่สองรองจาก สย 2  แต่บางท่านก็ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดกว่า สย. ๒ เสียอีก) เป็นผู้มาสร้างนครวัดต่อให้เสร็จ และยังสร้างนครธมอีกด้วย   ก็ไม่มีบันทึกว่าเป็นลูกเต้าใครมามาจากไหน (อีกแล้ว..เหมือนสย. 1)  ...นักวิชาการฝรั่ง “เดา” ว่าน่ามาจาก จาม แต่ข้าพเจ้าว่า เดาผิดล้าน% เพราะท่านมากู้ขอมนครวัดให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของจาม แล้วจะเอาทหารกู้ชาติมาจากไหน  นอกเสียว่าเอามาจาก พิมาย และ ละโว้ ..ดังที่มีภาพสลักทหารสยำและละโว้อันโด่งดังไว้ที่กำแพงนครวัดนั่นแล

 

ชย. ๗ ทรงเป็นชาวพุทธเต็มตัวยิ่งกว่า สย ๑ เสียอีก แสดงว่าต้องมาจากดินแดนเส้นพระธรรมแน่นอน  ไม่มีทางมาจากจามที่เป็นมุสลิมผสมฮินดูไปได้อย่างแน่นอน (นักวิชาการฝรั่งเขาไม่ให้เครดิทสยามเลยนะ เหตุผลหนึ่งคือเขาคงเห็นว่าประเทศไทยมีนักวิชาการง่าวๆมาก ดังนั้นในอดีตคงไม่เจริญได้ปานนั้นหรอก..ฮ่า)   ...ทรงเป็นผู้ทำให้นครวัดเป็นพุทธไปหมดอย่างถาวรตลอดมาจนวันนี้

 

อีกทั้งมาบำรุงเส้นทางพิมาย-นครวัดให้สมบูรณ์ สร้างอโรคยาศาล (ที่พักริมทางพร้อมโรงพยาบาล) เต็มไปหมด ยิ่งเป็นหลักฐานว่ามาจากพิมาย

 

การลงทุนสร้างปราสาท (หินพิมาย )  ถนน อโรคยศาล แบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ถ้าว่าพิมายเป็นเมืองขึ้นของนครวัด ลองนึกถึงสภาพเมืองขึ้นโบราณ มีแต่เขาจะกวาดต้อนผู้คนมาเป็นทาส (และลดกำลังทหารไปด้วยในตัว) แล้วให้ส่งส่วย แต่นี่ไปช่วยเขาสร้างเมือง สร้างถนน โรงพยาบาล ?  แสดงว่าไปสร้างเพื่อ “ตอบแทนบุญคุณบ้านพ่อเมืองแม่เสียมากกว่า”

 

ที่กล่าวมานั้นว่ากันตามลำดับเวลา ล้วนเป็นเศษกระเบื้องแตกที่ช่วยกันมาต่อภาพเต็มขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอฝากไว้ให้นักโบราณคดีไทยและนักประวัติศาสตร์ไทยช่วยเอาไปคิดต่อด้วยครับ  แบบที่เป็นกลาง (ไม่คลั่งชาติแบบข้าพเจ้า อิอิ)  ที่สำคัญคือ ...อย่าเชื่อฝรั่งไปเสียหมด โดยเฉพาะพวกฝรั่งเศสที่มีวาระซ่อนเร้นและใจไม่เป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ จอร์จ เซเดส์ ที่เป็นนักวิชาการฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งความเห็นของคนนี้มีอิทธิพลต่อกรอบความคิดของนักวิชาการไทยเรามาก  

 

จากบริบทในภาพรวม พอสรุปได้ว่าการปกครองนครวัดนั้นเป็นการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างอำนาจจากลพบุรี และ พิมาย โดยลพบุรีมีสายสุริยวรมัน ส่วนพิมาย มีสาย ชัยวรมัน สองสายหลักที่ครองอำนาจนครวัดสลับกัน

 

ต้องไม่ลืมบริบทในอดีตด้วยที่บ้านพี่เมืองน้องสายเลือดเดียวกันนั้นเมื่อเมืองใดไร้กษัตริย์ปกครองขึ้นมา (แย่งอำนาจกันจนฆ่ากันตายหมด) ปชช.มักจะไปขอหน่อเนื้อจากอีกเมืองหนึ่งให้ส่งกษัตริย์มาสืบสันตติวงศ์ต่อ เช่นลำพูนขอพระนางจามเทวีจากลพบุรีเป็นต้น ...ดังนั้น สย. ๑-๒ ชย.๖- ๗ ที่ว่ามาจากลพบุรีและพิมายนั้นก็อาจมาด้วยเหตุดังกล่าวนั่นเอง อีกทั้งยังมีหลักฐานว่านครวัดเองก็เคยส่งกษัตริย์มาครองลพบุรี ซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็ด่วนสรุปว่าเป็นเพราะนครวัดชนะสงคราม ซึ่งข้าพเจ้าว่าไม่มีใครเขากล้าทำแบบนั้นหรอก เป็นคนละเผ่ามาปกครองแบบนี้ก็ถูกฆ่าตายหมด ไปไม่รอดหรอก สมัยก่อนถ้ารบชนะจะทำการกวาดต้อนปชช.  แล้วตั้งให้คนเผ่าเดิมเป็นราชา แล้วให้ส่งเครื่องราชบรรณาการเสียมากกว่า  พม่าก็ทำกับเราแบบนี้ เราเองก็ทำกับเขมร ลาว แบบนี้

 

จากนี้ไปจะเสนอทฤษฎีกำเนิดเขมร  

เริ่มที่คศ. 1336 (15 ปีก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา) ที่ซึ่งกษัตริย์สาย “วรมัน” ที่ครองนครวัดมา 600 ปีก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย กษัตริย์องค์ต่อมามีนามว่า ตรอสอกเปรแอม (แปลเป็นไทยว่า พระเจ้าแตงหวาน) มีบุตรต่อมานามว่า นิพพานบท (หรือ นิวารณบทก็เรียก) จากนั้นก็ลำพงราชา

 

ข้าพเจ้าวิเคราะห์ว่า พ.แตงหวาน คือหัวหน้าทาส ที่นำพวกทาสซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของเมืองยึดอำนาจมาจาก “วรมัน” แต่เนื่องจากตนไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อพันธุ์เดียวกับพวกวรมัน แต่เป็นเชื้อชาติอื่น ก็เลยยกเลิกธรรมเนียมการตั้งชื่อเป็น “วรมัน”   การวิเคราะห์ของข้าพเจ้านี้ไปตรงกับพงศาวดารเขมร ฉบับ “นักองค์เอง” เข้าอย่างจัง (นักองค์เองนี้มาพึ่งพระบารมี ร ๑ ของเรา จากนั้นส่งไปครองเขมร)

 

พงศฯ ฉบับนี้บันทึกว่า.ต้นตระกูลเขมรมาจาก ตรอซอกเปรแอม (พระเจ้าแตงหวาน)  ...ซึ่งในขณะนั้นนักองค์เองคงภูมิใจมากที่ได้บันทึกเช่นนั้น (คงมีข้อมูลจากการบอกเล่าต่อๆกันมาเป็นเวลากว่าสี่ร้อยปี)

 

ต้องถามว่า ถ้าเขมรเป็นทายาทของ “ขอมวรมัน”  มีหรือที่นักองค์เองจะพลาดจนไม่ยอมพาดพิงไปถึง  แต่ด้วยความภูมิใจในเลือดเขมรที่ปลดแอกจากความเป็นทาสของพวก “ขอมสวายาม”  ได้ ก็เลยระบุไปแบบพาซื่อและตามจริงว่าพวกตนเป็นหน่อเนื้อของ ตรอซอกเปรแอม

 

 

บริบทแวดล้อม (contextuality  ..ศัพท์ไหม่ข้าฯคิดเอง..คงไม่เจอในดิคหรอก)

บริบทแวดล้อม (context) จากบันทึกของโจวตากวน และ อื่นๆ มัดแน่นว่าต้นตระกูลเขมร ( พระเจ้าแตงหวาน)  นี้ต้องเป็นพวกทาสที่เป็นปชช.ส่วนใหญ่ของนครวัดแน่นอน .... พอพวกขอมที่เป็นนายทาส เป็นคนส่วนน้อยอ่อนกำลังลง ก็เลยถือโอกาสยึดอำนาจ แล้วฆ่าพวกนายทาส (พวกสยำ หรือ ที่ไทยเราเรียกว่าขอม) ตายเรียบหมด แล้วตั้งชื่อเมืองนี้ใหม่ว่าเมือง “สยำเรียบ” (สำเนียงเขมร ที่สระอาของเรามักเป็นสระเอียของเขา เช่น นางนาค ก็เป็นเนียงเนียก พระวิหาร ก็เป็นเพรียะวิเหียร์ สยำราบ ก็กลายเป็น เสยียมเรียบ  เสียมเรียบ ในที่สุด)  

 

 ...จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาในยุคล่าอาณานิคม ก็มาเสี้ยมสอนให้เขมรเขียนพงศาวดารฉบับใหม่ โดยให้อ้างไปถึง “ขอมวรมัน” โน่น   ดังเช่นพงศาวดารฉบับออกญานง ..ที่ฝรั่งเศสเสี้ยมเช่นนั้น ก็เพื่อยกความเป็นขอมให้เขมร..เพื่อผลประโยชน์ในการล่าอาณานิคมนั่นแล

 

หลักฐานสำคัญอันหนึ่งที่ระบุว่าเขมรไม่ใช่ขอมคือ เขมรแต่อดีตอันนานโพ้นจนถึงปัจจุบันนี้ใช้เลขฐาน ๕ พอหกเจ็ดก็ขึ้นเป็น ๕๑ ๕๒ ส่วนขอมโบราณนั้นเขาเขียนว่า  ..๕ ๖ ๗ เหมือนลพบุรีเลย  ไม่เขียนตามการออกเสียงว่า ห้าหนึ่ง ห้าสอง

 

โจ้วต้ากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่เข้ามาอยู่นครวัด ๒ ปีในสมัยช่วงปลายยุควรมัน ได้เขียนบันทึกอันทรงคุณค่าบรรยายไว้ว่า ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองพระนครเป็นพวกทาสที่ถูกจับมาจากป่าเขารอบๆ  คนเหล่านี้ตัวดำมาก นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ไม่ใส่เสื้อ

 

 เขาบันทึกด้วยว่าพวกคนชั้นสูงแต่ละคนมีทาสกันเป็นร้อยคน   คนชั้นกลางมีทาส 30 คน คนที่จนมากจริงๆ จึงจะไม่มีทาสเลย ...ว่ามีชาวเสียมอยู่ในนครวัด คนพวกนี้ใส่เสื้อ มีอาชีพทอผ้า ค้าขาย ...ส่วน “ชาวพื้นเมือง” นั้นนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ตัวดำมาก และ ยากจนมาก กินแกงยังไม่มีชามต้องกินจากกระทงใบไม้

 

 

หลักฐานด้านคณิตศาสตร์

จากบันทึกของโจวฯ  ...ลองมาคำนวณดูว่าในบรรดาคน 100 คน ถ้ามีคนชั้นสูง 10 คน ชั้นกลาง 30 คน ชั้นล่างอีก 60 คน  (รวม 100 คน ) ก็จะมีทาสเสียประมาณ 2000 คน เรียกว่า 1 ต่อ 20 เลย... แต่จริงๆแล้ว คงไม่ได้นับต่อหัว แต่นับต่อครอบครัวเสียมากกว่า คือ 1 ครอบครัวมีทาส 100 30 0 ตามลำดับ ถ้าคิดว่าหนึ่งครอบครัวมี 6 คน ดังนั้น ก็จะกลายเป็นว่า มีชนชั้นสูง 600  คน ต่อ ทาส 2000 คน หรือประมาณ 1 ต่อ 3 นั่นเอง

 

นักวิชาการฝรั่งประเมินว่า นครวัดในช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน  (ใหญ่กว่าปารีส และลอนดอน เอ้าตรงนี้ขอเชื่อฝรั่งสักหน่อย เพราะมีเหตุผลอยู่) ดังนั้น จะเป็นนายทาส และคนอิสระเสีย สองแสนห้า ทาสเสีย เจ็ดแสนห้า

 

ข้าพเจ้าเลยวิเคราะห์ต่อว่า เมื่อเกิดความเสื่อมในคนชั้นปกครอง พวกทาสที่มีจำนวนมากกว่า 3 เท่าก็เลยรวมหัวกันล้มอำนาจเสียเลย เพื่อปลดแอกตนเอง จากนั้นสถาปนา  ตระวอกประแอม (นายแตงหวาน)  ขึ้นเป็นกษัตริย์ จนเป็นต้นตระกูลของเขมรตามพงศาวดารฉบับแรกที่(ยัง)ไร้การเสี้ยมของ “เศษฝรั่ง”   

 

การหนีเพื่ออยู่รอด (escape for survival) + คณิตศาสตร์ประชากร

กล่าวฝ่ายชาวเสียมที่เป็นชนชั้นปกครองที่สืบเชื้อสายมาจากพิมายและลพบุรี เมื่อคราว คศ. 1336  ที่ถูกพวกพ้องของตรอซอกเปรแอม ฆ่าไม่หมด”เรียบ”เสียทีเดียว ก็หนีไปซบอกพ่อที่ลพบุรี นั่นแล

 

...โดย หัวหน้าใหญ่ชาวขอม (เสียม) ที่อำนวนการหนีอพยพก็คือ พระเจ้าอู่ทอง นี่เอง  (ทำไมหนีไปอยุธยาแทนที่จะไปพิมาย อันนี้ยอมรับว่าข้าพเจ้าไม่รู้ อาจเป็นเพราะพิมายในช่วงนั้นเสื่อมอำนาจมากแล้ว พี่งพิงไม่ได้   นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายช่วยข้าพเจ้าคิดด้วยสิ อย่าเดาแต่ด่านะ)

 

 

ทฤษฎีเดิมที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเสนอว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรี นั้นบัดนี้พิสูจน์กันแล้วว่า ไม่ใช่  เพราะเมืองอู่ทองนั้นเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้สามร้อยปีแล้ว (จากหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดี)  บ้างก็ว่ามาจากเชียงแสน เป็นลูกขุนบรม บ้างก็ว่ามาจากสุโขทัยบุตรพระราเมศวร บ้างก็ว่าเป็นสุลต่านมุสลิมมาจากกลันตันมาลายู (ที่พระศพยังฝังอยู่ที่กลันตันจนวันนี้)  บ้างก็ว่าเป็นพ่อค้าชาวจีนมาจากเพชรบุรี (พงศาวดารฉบับวันวลิต พ่อค้าชาวฮอลันดา)

 

พระเจ้าอู่ทองนำคนประมาณ 3 แสนมาสร้างเมืองใหม่ที่อยุธยา  ถามว่า..เอาคนจำนวนมหาศาลมาจากไหน?   เพราะพลเมืองอู่ทอง (แม้ยังมีอยู่)  สุโขทัย เชียงแสน เพชรบุรี รวมกันยังไม่น่าถึงสามแสน  

 

เทวราชา/ธรรมราชา

 

นักวิชาการส่วนใหญ่ ประณาม เทวราชา ว่าไม่ดีต่างๆมากมาย โดยเฉพาะไม่ดีเท่า ธรรมราชา แบบ “ไทยเดิม”

 

 

ข้าพเจ้าถามในบรรทัดนี้ว่า อ้าว..แล้วจู่ๆ แถวนี้เขาใช้ระบบการปกครองแบบ “ธรรมราชา” ทั้งนั้น แล้วพระเจ้าอู่ทองเอาระบบ “ เทวราชา” มาจากไหน ? โดยสถาปนาพระองค์เองเป็น พระรามที่ ๑ (อวตารของพระกฤษณะ)  ครองกรุงอโยธยา ตามคติฮินดูเทวราชาแบบนครวัดเป๊ะเลย ...เสียแต่ว่าไม่ยอมใช้วรมันเท่านั้นเอง (คำว่า วรมันนี้ ที่จริงก็มีใช้ในชื่อกษัตริย์แถบเส้นพระธรรมเช่นที่ อู่ทอง ศรีเทพ มาก่อนหน้านครวัดเสียอีก เชื่อกันว่าเป็นอิทธิพลจากกษัติรย์ปัลลวะในอินเดียตอนใต้ แต่ตอนหลังถูกศาสนาพุทธครอง ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นธรรมราชากันหมด เลยเลิกระบบวรมันไป  แต่ไปโผล่ที่นครวัด  จริงหรือไม่ฝากนักวิชาการไทย ไปค้นด้วย อย่าอ่านแต่ตำราฝรั่ง)

 

ลำดับแห่งกาลเวลา และจิตวิทยา

หวนกลับไปคิดเรื่องกาลเวลา  ตรอซอกเปรแอม (พระเจ้าแตงหวาน)  ฆ่าเสียมตายเรียบเมื่อ คศ. 1336 พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรียอุยธยาเสร็จเมื่อ 1350 ...14 ปีหลังจากถูกไล่ฆ่า ก็เหมาะสมที่ใช้เวลา 14 ปีในการสร้างเมืองใหม่สำหรับคน 3 แสนคน ...จากนั้น 1352 ทรงยกทัพไปตีนครวัด

 

น่าถามว่า.เพิ่งสร้างเมืองเสร็จใหม่ ๆ กำลังพลอ่อนล้ามานาน น่าจะพักผ่อนและเฉลิมฉลองเสียมากกว่า อีกทั้งกองทหารก็ใหม่เอี่ยมถอดด้าม ไม่มีเวลาซ้อมรบ (เอาไปสร้างเมืองหมด)  แล้วจะไปรบกับ “ขอมผู้ยิ่งใหญ่” ที่เป็นอาณาจักรเก่าแก่และมีพลเมืองมหาศาล กองทัพอันเกรียงไกรไหวหรือ

 

หลักฐานประวัติศาสตร์นั้นมักจะตรงข้าม ถ้าสร้างเมืองใหม่มักถูกเมืองเก่าเข้ามาโจมตี เพื่อขจัดศัตรู แต่นี่เมืองใหม่ดันไปตีเมืองเก่าที่ทรงแสนยานุภาพที่สุด ..มันจะมิบังอาจไม่หน่อยหรือ

 

อยุธยาตอนนั้นมีพลเมืองเพียงสามแสน ถ้านครวัดยังเป็นนครวัดเดิมๆ ก็คงมีพลเมือง 1 ล้าน อีกทั้งมีกองทหารที่เข้มแข็งมาก เป็นที่เลื่องลือ ดังที่นักประวัติศาสตร์ฝรั่งว่า (เช่น สุโขทัย และลพบุรี  ก็เป็นเมืองขึ้นขอมหมดสิ้น)

 

 

แต่ถ้าคิดในเชิงจิตวิทยา การไปรบของพระเจ้าอู่ทองนั้น คือการไปล้างแค้นนั่นเอง เพราะทนรอมา 16 ปีแล้ว ทรงชรามากแล้ว เดี๋ยวจะสวรรคตเสียก่อนได้ล้างแค้นพวกเขมร ที่มาไล่ฆ่าชาวเสียมแล้วยึดนครวัดไป  อีกทั้งทรงรู้ว่าพวกอดีตทาสพวกนี้ไม่ได้มีกองทัพที่เข้มแข็งที่ชำนาญในการรบแต่ประการใดหรอก ก็ต้องไปล้างแค้นกันหน่อย

 

พอรบชนะเด็ดขาดที่เมืองเมืองหนึ่ง ก็เลยตั้งชื่อว่า “อู่ทองมีชัย” ซึ่งเมืองนี้ต่อมาภายหลังได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขมรยาวนานกว่า 200 ปี (ต่อจากเมืองละแวกที่สมเด็จพระนเรศวรไปตัดหัวเจ้าเมือง) จนขณะนี้เขมรได้ขอขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกแล้ว เมืองนี้มีลักษณะคล้ายอยุธยามาก นักวิชาการไทยมักเรียกให้เพี้ยนว่า อุดงมีไชย ดูเหมือนว่าเพื่อช่วยให้เขมรมีศักดิ์ศรีว่าไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของไทย ส่วน เสียมเรียบ นั้นนักวิชาการไทยไม่เคยเรียกว่า เสียมราฐ เลย ..กลัวเขมรจะโกรธ 

 

นิทานปรัมปรานั้นบ่อยครั้งมีความแน่นอนยิ่งกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เสียอีก เพราะบันทึกประวัติศาสตร์นั้นบันทึกตามคำสั่งผู้ชนะเสมอ จึงมีการบิดเบือนได้มาก ..ปรากฎว่านิทานต้นกำเนิดชาติเขมรนั้นช่างตรงกับนิทานของพวกจามยังกะแกะ คือ ต้นตระกูลมาจากนางนาค (เนียงเนียก) ชื่อโสมา สมสู่กับฤาษีตนหนึ่ง นี่ก็เสริมว่าเขมรคือพวกจามที่ถูกขอมจับมาเป็นทาส แล้วพาเอานิทานต้นกำเนิดนี้ติดตัวมาด้วย  ..สันนิษฐานของข้าพเจ้าในเรื่องนี้ต่างจากบันทึกของโจวตากวนที่ว่า ทาสในพระนครมาจากคนป่าที่อยู่ตามเขารอบๆ ...แต่อาจลงรอยกันได้บ้างในข้อที่ว่า คนป่าเขาก็มักเอานิทานของคนเผ่าอื่นมาเป็นนิทานของตน (เพื่อยกระดับตน)  เพราะโดยลักษณะภูมิประเทศป่าเขาพวกนี้ก็ติดกับเขตแดนของพวกแขกจามนั่นแหละ  (พรมแดนเขมรเวียตนามในวันนี้ พศ. ๒๕๕๕)

 

 

ภาษาไทย สยาม ขอม

สำหรับราชาศัพท์ไทยเราที่มีคำพ้องกับภาษา “ขอม” มากนั้นก็ยิ่งเป็นหลักฐานมัดว่าสยามอยุธยามาจากขอมนครวัด...ก็ทรงเป็นเทวกษัตริย์ขอมมาจากนครวัด ก็ต้องใช้ภาษาขอมนี่แหละ จะให้ใช้ภาษาอะไรเล่า  ในขณะนั้นจารึกที่สุโขทัยยังใช้ว่า..พ่อกู ขุนศรี แม่กูนางเสืองอยู่เลย ...ไม่มีราชาศัพท์สักคำ

 

แล้วจู่ๆ อยุธยาจะเอาคำ “ราชาศัพท์” มาจากไหน ...ด้วยการอพยพมาจากอู่ทอง สุพรรรณบุรี กระนั้นหรือ เรื่องยากๆ แบบนี้ มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก สิบ่อกไห่

 

ส่วนพวกเขมรเป็นทาสขอมมานานหลายร้อยปี ก็ซึมซับรับเอาภาษาขอมไปใช้ด้วย โดยก็มีการปนกับภาษาสยำมากทีเดียว เช่น นางนาค ก็เรียกว่า เนียงเนียก พระวิหาร ก็เป็น เปรียวิเหียร์

 

ดังนั้นราชาศัพท์ไทยเราเป็นภาษาขอมผสมกับสันสกฤต ซึ่งไม่ใช่ภาษา”เขมร” อย่างแน่นอน พึงเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกเถิดนะท่านนักวิชการไทยเอ๋ย

 

ภายหลังก่อตั้งอยุธยาคนพูดไทย มอญ ลาว ก็อพยพเข้ามามากขึ้น จนเพิ่มขึ้นเป็นล้านคนในที่สุด (เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกพอๆกับ ลอนดอน และปารีส) ต่อมาคนพูดภาษาไทยก็ล้นหลามและมีอิทธิพลจนกลืนภาษาขอมเดิมเสียเกือบสิ้น ยกเว้นราชาศัพท์ ที่ยังเป็นภาษาขอมเป็นส่วนใหญ่ตามประเพณีเดิมแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง

 

วรรณกรรมสยามในยุคต้นอยุธยาเขียนเป็นภาษาไทย ขอม มอญ ปนกันไปหมด เช่น ลิลิตยวนพ่าย โองการแช่งน้ำ เป็นต้น

 

พี่ชายของข้าพเจ้า มีความเชื่อตรงกัน ท่านจึงได้ไปค้นคว้าอักขระพ่อขุนรามพบว่ามันต่างจากอักขระอยุธยามาก เพราะสุโขทัยเขียนบรรทัดเดียว ส่วนอุยธยาเขียนสามบรรทัด มีใต้ถุนสระอุอู และมีดาดฟ้าเป็นอิอี และวรรณยุกต์ เหมือนภาษาขอมโบราณ  ซึ่งเป็นอีกหลักฐานที่เสริมว่าเสียมอยุธยามาจากขอมนครวัด

 

คนสยำนี้แปลก การใช้ภาษามักนิยมแขก (บาลี สันสกฤต) เพื่อให้ดูว่าสูงส่ง แต่การเรียกชื่อวัด วัง ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาท้องถิ่น เช่น วัดลิงขบ น่าแปลกว่าชื่อปราสาทในนครวัด นครธม เป็นภาษาไทย เสียมาก เช่น วัด  ธม.  (มาจากธัม ในบาลี แต่ฝรั่งอ้างแบบพร่าดิบว่า ธม เป็นคำเขมรแปลว่า”ใหญ่”)  ปราสาทนาคพัน (เนียกเพียน ในภาษาเขมร แปลว่า งูขด)  ปราสาทปักษีจำกรง (..นกถูกขังกรง)  และอื่นๆ (โปรดหาอ่านบทความฉบับเต็มของข้าพเจ้าในเรื่องนี้)


เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปศาสตร์

ลองคิดดู จู่ๆจะสร้างนครวัด นครธมอันยิ่งใหญ่ โดยไม่มีฐานด้านเทคโนโลยีมาก่อนได้หรือ จะตัดและยกลากหินก้อนมหึมาได้อย่างไร (วิทยาการชั้นสูง)  จะแกะสลักได้อย่างไร มันคงต้องหัดเดินริมทางเส้นพระธรรมแถวพิมายเสียก่อนจึงจะมาวิ่งที่นครวัดได้

 

เมื่อปราสาทหินพิมาย และอื่นๆ เช่น ปราสาทศรีเทพ (เพชรบูรณ์) สร้างก่อนนครวัด ดังนั้นนครวัดก็มีแบบอย่างทั้งด้านวิศวกรรมศาสตร์และ ศิลปะศาสตร์ มาจากคนแถบนี้แหละ  ที่สถาปนิก วิศวกร ก็คนสยำ ศิลปินแกะสลักก็คนสยำทั้งสิ้น

 

ในด้านศาตร์ ศิลป ทั้งระดับมาโครและไมโคร ก็ละม้ายกันแบบไม่ใช่ความบังเอิญ  เช่น ขนาดของกำแพงรอบพิมายและนครวัดก็มีขนาดกว้างยาวเท่ากัน  นางอัปสรก็มีการแต่งกาย ทรวดทรงองค์เอว  เครื่องประดับหัวที่เหมือนกัน

 

กลับมาที่โจวตากวน  ท่านบันทึกว่า คนพื้นเมืองเขมรทอผ้าไม่เป็น เลี้ยงไหมไม่เป็น การเย็บ ชุนผ้าก็ไม่เป็น  ส่วนคน “สยาม” นั้น ทอผ้าเป็น เลื้ยงไหมก็เป็น โดยนำต้นหม่อนและตัวไหมมาจากเมืองสยาม อีกทั้งคนสยามยังเย็บผ้าด้วยเข็มและชุนผ้าเป็นอีกด้วย

 

น่าถามว่า คนพื้นเมืองทำของพวกนี้ไม่เป็น นับเลขก็ได้เพียงแค่ห้า ..แล้วจะมีเทคโนโลยีไปตัดหิน ขนหิน สลักหินได้หรือ

 

แต่คนพื้นเมืองพวกนี้มีปริมาณมาก เป็นหรือมีกำเนิดมาจากทาสเป็นส่วนใหญ่ พอมีโอกาสจากการอ่อนกำลังของนายทาส ก็เลยถือโอกาสยึดอำนาจ และปลดแอกตนเองนั่นแล นำโดยนายแตงหวาน ตามพงศาวดารฉบัดนักองค์เองนั่นแล

 

ที่มาของคำว่าสยาม ขอม  เขมร

สุดท้าย คำว่า สยำกุก ที่สลักบอกไว้ในภาพแกะสลักนูนต่ำที่กำแพงครวัดคู่กับภาพการเดินสวนสนาม มาจากไหน   แต่ละคนก็ตีความกันไป ส่วนข้าฯตีว่า เป็นกองทหารจาก พิมาย

 

ข้าฯเสนอด้วยว่า  คำว่า สยำ (สยาม) นี้น่าจะเพี้ยนเพราะกาลเวลา มาจากคำว่า สวายามภูวา ซึ่งเป็นชื่อพระบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ ซึ่งมาจากพิมาย

 

สุดท้ายข้าฯขอคะเนว่าคำว่า “ขอม” ที่เราคน “ไทย” ใช้เรียก คนแถวลพบุรียันนครวัดนั้น น่าจะมาจากคำว่า  “ขำ”   ”คล้ำ “   (แปลว่าผิวดำ เพราะคนกลุ่มนี้มีผิวคล้ำกว่าคนทางเหนือ) หรือไม่ก็มาจากคำว่า ขะยม (ที่มาของคำว่ากระผม) เพราะคนพวกนี้ใช้สรรพนามแทนตนเองว่า ขยม   ออกเสียงว่า ขะย๋ม พอพูดเร็วๆ ก็เป็น ขม ขอม ในที่สุด

 

น่าสนใจว่านักวิชาการประวัติศาสตร์ชื่อก้องของสยำประเทศบางท่านต้องการยัดเยียดความเป็นขอมให้เขมรมากเหลือเกิน จึงได้จินตนาการไปว่าคำว่า ขอม มาจาก แขมร์กรอม (เขมรต่ำ) จากนั้น แขมร์หายไปเหลือแต่ กรอม จาก กรอม ก็เป็นขอม ...ซึ่งทำให้ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการคนอื่นๆไปด้วยโดยปริยาย

 

สำหรับจอร์จ เซเดย์ นั้น ต้องการยัดเยียดความเป็นขอมให้เขมรเสียเหลือเกิน ก็เลยสร้างทฤษฎีว่า คำว่า เขมร มาจาก ชื่อพ่อและแม่ของพระจ้า ชย. ๖ ...ที่ชื่อว่า กัมพู สวายามภูวา และ นาง “เมรา “   ดังนั้นถ้าเอา กัม+เมรา ก็เป็น กัมเมรา แล้วเพี้ยนมาเป็น ขเมรา  ตัดสระอาออกก็เป็น เขมร นั่นแล..

 

ส่วนข้าเจ้าก็ไม่ยอมน้อยหน้าเซเดส์ เสนอว่า  สยาม มาจากชื่อท้ายของเสด็จพ่อ “สวายามภูวา”    นั่นเอง แต่ของข้าฯมีที่มาที่ไป มีบริบทแน่นอนกว่าของเซเดส์สิบเท่า แต่เชื่อว่าคนสยำส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อกันหรอก เพราะพวกเขานิยมที่จะเชื่อเศษฝรั่งเจ้าอาณานิคมมากว่าคนสยำด้วยกันเอง

 

จากจอร์จ.เซเดส์ ผ่านจิตรฯ ถึง ชาญฯ

ป่านนี้วิญญาณของ จอร์จ เซเดส์ นักวิชากการกิเลสหนา เพื่อนร่วมทุกข์ของเรา  คงนอนอมยิ้มร่าอย่างมีความสุข ที่ได้เห็นหน่อเนื้อวิชาการปนอคติของเขา ที่ได้เพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ ได้หยั่งรากลึกลงในจิตวิญญาณนักวิชาการสยำได้อย่างมั่นคงแล้ว

 

ขอให้วิญญาณของท่านจงไปสู่สวงสวรรค์ ไปสู่วิษณุโลกาไปรับใช้องค์สุริยวรมัน ๒ บนสวรรค์อย่างสมเกียรติด้วยเทอญ

 &lt

หมายเลขบันทึก: 481629เขียนเมื่อ 11 มีนาคม 2012 10:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 20:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ ดูเหมือนดินแดนแถวนี้ยังมีอะไรให้ศึกษาเยอะแยะมากมายทีเดียวครับ

แต่ตามที่อาจารย์บอกว่า

"ท่านใดมีปัญญาบารมี ก็ช่วยกันคิด ทำ ต่อไป ให้เห็นภาพชัดยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ หาไม่แล้วก็สุดแท้แต่เวรกรรมของชนชาตินี้ก็แล้วกัน"

ผมนึกๆ แล้วก็คงยากครับ ผมเดาว่างานอย่างนี้ต้องใช้ทุนในการทำงานพอประมาณทีเดียว เพราะต้องขุดต้องค้นต้องออกนอกสถานที่เดินทางเยอะมาก แต่แหล่งทุนวิจัยของไทยไม่สนับสนุนงานอย่างนี้แน่นอน ของไทยเราต้องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเดียวเท่านั้น

ผมลองนึกเล่นๆ ว่าถ้าประเทศไทยให้การสนับสนุนงานสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์พอๆ กับวิทยาศาสตร์ การพัฒนาของไทยคงไม่เสียสมดุลอย่างนี้ครับ

เพื่อนผมคนหนึ่งเคยบอกว่าตอนสมัยเรียนมัธยมเขาอยากเป็นนักประวัติศาสตร์แต่รู้ว่าคงไม่มีงานทำแน่ๆ นี่ถ้าเขาได้เรียนและมีโอกาสในการทำงานรองรับบ้านเราก็คงเสียนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่เรียนแบบจำเรียนไปหนึ่งคน (จากหลายร้อยคน) แต่ได้นักประวัติศาสตร์ที่มีใจรักในเนื้องานมาหนึ่งคนครับ

ดร. ปิฯ ครับ พวกฝรั่งบอกว่า คนที่ฉลาดที่สุดนั้น ควรมีอาชีพแบบนี้

1. นักโบราณคดี

2. นักสืบ

3. สถาปนิก

4. ผู้บริหารองค์การ

5. นักวางผังเมือง

ซึ่งผมเห็นด้วยทุกประการ

น่าสนฯว่าไม่มี นักวิทยาศาสตร์ หมอ วิศวกร อยู่ในรายการ

การเป็นนักโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ต้องการคนที่ฉลาดที่สุด เพราะเป็นรากแห่งสังคม แต่อนิจจา ไทยเราไม่มีราก แม้แต่รากหญ้าของเราก็เง่างี่ เหมือนหญ้าที่ไม่มีรากเสียมากกว่า เป็นเหยี่อหอย "ปู" ปลา ไปโม๊ด

ความจริงร่องรอยและอิทธิพลของขอมยังคงเหลืออยู่มากในปัจจุบัน เพราะ คนไทย ยังรู้สึกเคารพ ขอม ว่า เป็นครู อยู่..และถ้าหากเราเจาะเลือดดูสายพันธุ์มนุษย์ในดินแดนสุวรรณภูมิ..น่าจะมีสายเลือดขอมหนาแน่นในแถบภาคกลางของประเทศไทย..ความเกี่ยวดองหนองยุ่งของ คนไท มอญ ลาว เขมร แขก จาม จีน กับ อดีตของขอมในแถบนี้จึงมิอาจสะสางได้ง่าย..อดีต ก็คือ อดีต..มิอาจแก้ไข แปรเปลี่ยนได้ด้วยข้อเท็จจริงใดๆ..ที่แน่นอนก็คือ การรวมกันเป็นภูมิภาคอาเซียนในปี 2558..ดังนั้น ไม่ว่า เราจะมีข้อโกรธเคืองบาดหมางไม่ลงรอยกันด้วยเหตุใดเราอาจไม่จำเป็นต้องสืบค้น เพราะ มันสำคัญอยู่ที่ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้เราจะอยู่ร่วมกันกับอาเซียนอย่างไร?..เพื่อให้เกิดความมั่นคงในปัจจุบันและอนาคตของลูกหลานของเรา..แต่หากคิดดูให้ดีๆ..ไม่แน่ว่า เราอาจแตกเป็นหลายชาติไทย ซะก่อนที่จะไปรวมกับเค้า นะครับ...

ขอเสนอความคิดเห็นนะครับก่อนอื่นผมขอบอกว่าผมอยู่ชั้น   ม.4เเต่ผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์ถ้าหากว่าผมพูดผิดเเต่ประการใดก็ขอโทษ  จากที่ผมเคยอ่านหนังสือในหลายเล่มบอกว่าขอม เป็นชื่อทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ชื่อชนชาติ หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา นับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ทางใต้ของแคว้นสุโขทัย อาจจะหมายถึงพวก ละโว้ (หรือ ลพบุรี) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่างๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่าขอมคือพวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนา(ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย) เนื่องจากคำว่า ขอม สัญนิษฐานว่ามาจากคำว่า “เขมร”+”กรอม” (ที่แปลว่าใต้) พูดเร็วๆ กลายเป็น “ขอม” [1]

พวกนี้ตัดผมเกรียน และนุ่งโจงกระเบน กินข้าวเจ้า ฯลฯ แคว้นละโว้มีชื่อในตำนาน และพงศาวดารว่า กัมโพช เลียนอย่างชื่อ กัมพูชา ของเขมร นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน อาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่า ขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด ขอมไม่ใช่ชื่อชนชาติ เพราะไม่มีชนชาติขอม แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ สยามเดิม ขอม ไม่ได้หมายถึงเขมรกลุ่มเดียว เพราะ เขมร นั้น เป็นคำไทย ซึ่ง หมายถึง ขะแมร์ ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ขอม และไม่รู้จัก ขอม ต่อมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893 แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ? ยังหาคำอธิบายไม่ได้ชัดเจน แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง

คำว่า ขอม ปรากฏในจารึกวัดศรีชุม สุโขทัย 2 แห่ง ระบุชื่อ ขอมสบาดโขลญลำพง จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักวิชาการคนแรก ๆ พยายามศึกษาและอธิบายคำคำนี้ใหม่ ได้เสนอว่า ขอม ไม่ได้หมายถึงชนชาติหรือเชื้อชาติ แต่หมายถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป) ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอโยธยาศรีรามเทพนครด้วย คำว่า "ขอม" ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า "แขก" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง จิตร ยังอธิบายว่า คำว่าขอม ถูกนำมาใช้ในงานเขียนสมัยใหม่ (ขณะนั้น)โดยมีความรู้สึกชาตินิยมเป็นพื้นมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่นการถือว่าขอมเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เคยแผ่อำนาจมาครอบครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงสุโขทัย มีอำนาจปกครองเหนือชาวไทยโบราณ ต่อมาชาวไทยที่สุโขทัยจึงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้พ้นจากอำนาจของขอม เพื่อสร้างความรู้สึกชาตินิยมในประเทศไทยเเละผม   นั่นเเสดงว่าชนชาติไทยที่อยู่ในภาคกลางก็ถูกเรียกว่าขอม เเต่ก็หาไช่ว่าพระเจ้าอู่ทองนั้นไม่ไช่ชนชาติไทยเพราะพระเจ้าอู่ทองก็คือคนที่อยู่ในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าสยามที่อาศัยอยู่ในภาคกลางซึ่งคำว่าสยามนั้นไช้เรียกกลุ่มคนที่อยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ก็ที่ถูกเรียกว่าสยามนั้นเรียกตนเองว่าไทยเป็นชนชาติไทย  ตามหลักฐานของลาลูแบร์นั้นคนในประเทศไทยได้เรียกเผ่าพันธุ์ของตนเองว่า ไทย ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาแล้ว โดยได้บันทึกไว้ว่าชาวสยามเรียกตนว่า ไทย (Tàï) แปลว่า อิสระ อันเป็นความหมายตามศัพท์ในภาษาของพวกเขาอยู่ในปัจจุบัน [...] คำว่า สยาม กับ ไทย เป็นสองคำที่มีความแตกต่างกัน   นั่นเเสดงว่าคนไทยนั้นอาจเข้ามาอยู่ในสวรรนภูมิก่อนขอม  นี่คือความคิดของผมเด็ก  ม.4ถ้าหากผิดพลาดก็ขอให้ท่านผู้รู้โปรดชี้เเนะด้วยครับ


อู่ทองคือเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลีย ขอมแค่อาณาจักรที่ล้มสลาย

คนทางจีนทักว่า คนในบ้านไม่ใช่คนไทแต่อย่างใด แค่เป็นคนพื้นเมืองในอาณาจักรเขมรที่ถูกคนเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนอย่างพระเจ้าอู่ทอง พระนเรศวร ยึดและปกครอง เรื่องนี้สืบได้จากกษัตริย์ไทในสิบสองปันนา ชื่อเจ้าหม่อมคำลือที่มีหน้าตาแบบเกาหลีจีน เป็นคนหน้าตาเอเซียตะวันออก


พระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้าอู่ทองคือหน้าตาแบบเกาหลีจีนหรือคิมจองอิล ไม่ใช่หน้าตาแบบคนอย่างเราในหลวงปัจจุบันซึ่งเป็นคนพืนเมืองผิวดำ คล้ำ และไม่ใช่หน้าแบบพระเอกหนังที่ท่านมุ้ยสร้าง พระมหาเทวีก็มีหน้าตาแบบเกาหลีจีนไม่ใช่หน้าตาอย่างในแอฟ เรื่องนี้สืบได้จากกษัตริย์ไทในสิบสองปันนา ชื่อเจ้าหม่อมคำลือที่มีหน้าตาแบบเกาหลีจีน เป็นคนหน้าตาเอเซียตะวันออก

ภาพวาดเสมือนจริงโดยคนฝรั่งเศสเกี่ยวกับพระนาราย ออกหมื่นพิทยาราชา มีหน้าตาแบบคนเอเซ๊ยตะวันออก คล้ายเกาหลีจีนมากๆๆ

คนเผ่าไทหรือไตเป็นคนจากมองโกเลีย เอเซียตะวันออก ตามประวัติ คนเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนชื่อเสือข่านฟ้า ได้ขยายดินแดนจากตอนหนือ มายึดยุนนาน เดียนเปียนฟู พม่า เข้ามาถึงตอนกลางของไทยซึ่งคือเขมรสมัยก่อน สำเร็จ แล้วมีการตั้งตนเป็นกษัตร์ย์ คนแถบเรามีประวัติใช้ภาษามอญ-เขมรมาก่อน ต่อๆ จู่ เปลี่ยนมาใช้ภาษาไทกระไดจากเสฉวน เพราะเรื่องจริงเราเสียดินแดนและถูกปกครอง

คนอังกฤษกับแอฟิรกาตอนนี้ใช้ภาษาพูดและกินอาหารเหมือนกัน หลีงอังกฤษปกครองแอฟิรกาแล้ว คนแอฟิรกาเป็นคอังกฤษหรือเปล่า และระหว่างอังกฤษปกครองอินเดีย ยังให้คนอินเดียผิวดำภายใต้การปกครองเรียกว่า คนในจักรภพอังกฤษ

แค่พระเจ้าตากเสินยังมีรูปภาพหลากหลาย แต่ถ้าตั้งสติดูจากประวัติ มีพ่อเป็นคนจีน แน่นอนพระเจ้าตากสินไม่ใช่คนหน้าตาพื้นเมืองอย่างที่เอามาวาดในภายหลัง

ตอนนี้ คนแอฟริกันที่ถูกอังกฤษปกครองก็ใช้คำว่า มิสเตอร์ นำหน้าชื่อแบบคนอังกฤษ ทำให้คำว่า มิสเตอร์ มี 2 เชื้อชาติ คือคนแอฟริกัน กับพวกฝรั่ง เช่นกัน อู่ทองเป็นคำไทกระได เพียงแค่ต่อมา คนพื้นเมืองทางเราซึ่งถูกปกครองมาใช้ชื่อแบบคนไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลีย พวกคุณเลยหลงเชื่อผิดว่า พระเจ้าอู่ทองมีหน้าตาแบบคุณ

เรื่องจริงคนในไทยไม่ใช่คนไท แต่เป็นคนพื้นเมืองที่ถูกปกครองโดยคนไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลีย เขมรเป็นอาณาจักรที่ล้มสลาย ภาษามอญ-เขมรเป็นภาษาตายแล้ว พระเจ้าอู่ทองคือคนไทจากมองโกเลียที่มีหน้าตาเกาหลีจีนและมารบชนะกษัตริย์เขมร จึงตั้งตัวเป็นกษัตริย์ไทปกครองคนพื้นเมืองเดิมในเมืองเขมรที่ล้มสลายไป คุณลองไปดูวังพระนารายซิ คล้ายวังจีน กำแพงเมืองจีน พระนารายเกิดที่หลังพระเจ้าอู่ทอง และคำว่า พระนารายกับอู่ทองเป็นคำไทกระไดไม่ใช่คำเขมรหรือมอญ แน่นอนพระเจ้าอู่ทองคือคนไทจากมองโกเลียที่มีหน้าแบบเกาหลีจีน

แค่คนไทตัวจริงสูญเสียสายเลือดจากตอนกลางของประเทศ ไป เพราะเป็นคนกลุ่มน้อย มีประชากรต่ำสุด แม้เป็กษัตริย์ จึงเอาคนจากเอเซียตะวันออกข้ามทวีปมาทำงานแทนตน เช่น พ่อพระเจ้าตากสินซึ่งเป็นคนเชื้อเผ่าจากทวีปเดียวกัน คนมอญมีประชากรใหญ่สุดและถูกปกครองโดยคนเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีน สุดท้ายเทคฯ การทหารเยี่ยมๆ ของคนไทจากมองโกเลียก็ถูกโอนมายังคนมอญอพยพที่ถูกให้กลายเป็นไท คำว่า "ขุนบรม" เป็นภาษาไทๆ แท้ๆ ไม่ใช่ภาษาอินเดีย มอญ เขมรซึ่งเป็นอาณาจักรที่ล้มสลาย เราฟังคำไทแท้ๆ ไม่รู้เรื่องเองเพราะภาษาไทที่เราใช้ไม่ใช่ภาษาแม่เราตั้งตน คำว่า "อู่ทอง" เป็นคำไทกระได ไม่ใช่คำเขมร ความจริงแล้วคนทางแถบเรามีกษัตริย์ข้ามทวีปคนละเชื้อชาติเผ่าพันธุ์กับเรามาถึง 500 ปี กษัตริยอยุธยาเป็นกษัตริย์ไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลียทั้งหมด คนแถบเราเคยใช้ภาษาเขมร-มอญซึ่งต่อมาเป็นคำตาย หลังจากถูกปกครองโดยคนเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลียที่ใช้ภาษาไทกระได(จากเสฉวน)

อู่ทองคือเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลีย ขอมแค่อาณาจักรที่ล้มสลาย

(ต่อ) ความรู้ฝรั่งคับแคบ ไม่สามารถแยกแยะว่าคนไทตัวจริงหน้าตาแบบใด ถ้าคุณสมารถแยกแยะได้ว่าคนไทตัวจริงคือคนหน้าตาเกาหลีจีน คุณก็จะรู้ว่าเกิดอะไรในอดีต

เขมรถูกปกครองแน่นอนโดยคนเผ่าไทหน้เากหลีจีนจากมองโกเลีย ภาษามอญ-เขมรเป็นภาษาตาย และถูกแทนที่โดยภาษาไทกระไดจากมองโกเลียเอเซียตะวันออก ขอโทษ แค่นครวัดเขมรสร้างโดยเอาเทคฯ จากเอเซียตะวันออก

คำว่า"ขุนบรม" เป็นภาษาไทๆ แท้ๆ ไม่ใช่ภาษาอินเดีย มอญ เขมรซึ่งเป็นอาณาจักรที่ล้มสลาย เราฟังคำไทแท้ๆ ไม่รู้เรื่องเองเพราะภาษาไทที่เราใช้ไม่ใช่ภาษาแม่เราตั้งตน คำว่า"อู่ทอง" เป็นคำไทกระได ไม่ใช่คำเขมร ความจริงแล้วคนทางแถบเรามีกษัตริย์ข้ามทวีปคนละเชื้อชาติเผ่าพันธุ์กับเรามาถึง500 ปี กษัตริยอยุธยาเป็นกษัตริย์ไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลียทั้งหมด คนแถบเราเคยใช้ภาษาเขมร-มอญซึ่งต่อมาเป็นคำตาย หลังจากถูกปกครองโดยคนเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลียที่ใช้ภาษาไทกระได(จากเสฉวน)

 


 

อู่ทองคือเผ่าไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมองโกเลีย ขอมแค่อาณาจักรที่ล้มสลาย

(ต่อ) สยามคือไทใหญ่ ที่มีหน้าตาเกาหลีจีน เป็นดินแดนที่คนเผ่าไทจากมองโกเลียที่มีหน้าตาเกาหลีจีนได้มาจากกษัตริย์เขมรหรือขอม จากนั้นก็มีการปกครองข้ามทวีป ประชาชนภายใต้การปกครองคือคนในเมืองเดิมของเขมรที่ถูกทำให้กลายเป็นไท โดยมีกษัตริย์เป็นคนไทหน้าตาเกาหลีจีนจากมอ.โกเลีย

กษัตริย์ไทหน้าตาเกาหลีจีนในสิบสองปันนา ชื่อ หม่อมคำลือ ไม่เคยอ้างว่าสร้่างนครวัด ยกเว้นคนในตอนกลางของไทยปัจจุบันที่อ้าง ซึ่งคนในเมืองเขมรทึ่ถูกทำให้กลายเป็นไท ใช้ภาษาไทกระไดแทนภาษามอญ-เขมรที่เป็นคำตาย คนไทตัวจริงหน้าตาเกาหลีจีนอย่างพระเจ้าอู่ทอง พระนเรศวร พระนารายไม่ได้สร้างนครวัด และปกครองชุมชนคนเขมรเดิมแล้วสั่งสอนชุมชนนี้ให้ใช้ภาษาไทกระไดจากเสสวนแทนภาษามอญ-เขมร  

ชอบอ่านประวัติศาสตร์มากคะ รู้สึกอยากจะอ่านเรื่องขอม อ่าไมรู้เบื่อ พยายามค้นข้อมูลอ่านเรื่อยๆ แบบไม่มีเหตุผล 

เราได้ประโยชน์อะไรบ้างคะจากการศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี ได้ประโยชน์อะไรบ้างขอคำแนะนำหน่อยคะ ไม่ไได้เรียนจบด้านนี้ แต่ใจรัก อยากจะรู้ลึกไปเรื่อยๆ จิตมันผูกพันยังงัยบอกไม่ถูก

ขอสันนิษฐานเล่นๆ นะคะ เหตุผลที่พระเจ้าอู่ทองอพยพหนไปตั้งรกรากที่อยุธยา ไม่ไปพิมาย เนื่องจากอยุธยาอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำล้อมรอบ เป็นกำอพงตั้งด่านรบ กันศัตรู เดานะคะ

ชาวอารยัน ขาว ดารวิเดียน ดำ นำศาสนามาด้วยฯ 2000 ปี อพยพเข้าสุวรรณภูมิ ชาวพื้นเมืองมองโกลลอย ผิวเหลือง ลาว มีอานาจักรน่านเจ้า แต่จีนฮั่นยึดไป ชาวพื้นเมืองเงาะป่าซาไก ผิวดำเตี้ยผมยิก ปัจจุบันชน 4 ชาติผสมข้ามสายพันธ์ฯ รู้รักสามัคคี

อู่ทองหน้าเกาหลี บ้าปะ ทำไมไม่เอาหน้าญี่ปุ่น มองโกลด้วยละ......มึงเกิดทันคนยุคนั้นหรือ หมดสมัยเลือดแท้หน้าเกาหลีแล้ว

ยุคนี้เลือดผสมทั้งนั้น ง่ายๆนะ แม่ก็หมวยขาวตี๋ พ่อกูหน้าคมแต่เหลืองไม่คล้ำ กูยังหน้าตาออกมาผิวขาว ไม่คมมากพอดี กึ่งแม่กึ่งพ่อเลย คนไทยส่วนมากก็เป็นแบบนั้น

มึงแยกออกหรือ คนไหน ไทยมอญกวาดต้อนอพยพมาเป็นแสนๆก่อนมายุคเบบี้บูมเป็น 10-20 ล้าน แล้วไหนจะเลือดผสมแล้วภาษาไทยทุกวันนี้ กึ่งขอม กึ่ง ไทกะได ด้วยซ้ำ ไทเดิม แท้ๆเริ่มลดลง
เพราะมันเกิดการ กลืนไม่ได้คลายไม่ลง จนผสมกัน ทั้งสายเลือดภาษามาเป็นพันๆปีแล้ว

หม่อมเจ้าคำลือ แน่ใจไหมว่า ไม่มีเชื้อจีนฮั่นผสมมาแต่ยูนนานส่งราชสำนักจีนมา ก่อนจะไล่มาถึงส่งกันเป็นเขยเป็นสะใภ้กับสิงสองปันนา

ขนาดเชื้อสายเชียงรุ่ง ที่อพยพมาพึงล้านช้างก่อนแตกกันรบกันมาถึงอุบลอีก

จนเจ้านางเจียงคำ ไม่เหลือความเป็นหมวยแหละ เพราะเลือดผสม

คนไทยถึงได้กล่าวไงว่า เป็น เลือดผสม ไม่ใช่ พูดภาษากลุ่มไตกะได แต่ไม่ได้หมายถึงจะเป็นเผ่าพันธ์บริสุทธิ์

เขาถึงเรียกว่า กลุ่ม ภาษาชาติพันธ์เดียวกัน เหลือแต่เชื้อผสม กับเสี้ยว และภาษาแหละที่ยังเป็น ไทกะได อยู่ คือ ไม่ดำ ไม่คมแขกมาก เหมือนชนพื้นเมืองทั่วไปแถบนี้ แต่ออกกึ่งๆซะมากกว่า เหมือนเลือดผสมทั่วไป

แล้วคิดหรือว่าพวก ไตกะได ในแถบจีนตอนใต้ จะเลือดบริสุทธิ์


พวกเยว์100เผ่า ที่มีมากมาย พวกนั้นอาจจะไปผสมกับพวก ม้ง แม้ว สายเลือดมองโกล และธิเบต หรือแม้แต่พวกฮั่นเอง ก็ได้ เอาไรมายืนยันว่า พวกไต ไท แท้บริสุทธิ์ ต้องหน้าเหมือนเกาหลีอย่างเดียววะ 55555 ไอ้บ้านี้











พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท