มองโรคในแง่ดี ตอนที่ 1


สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ ใช่ลิขิต

"เริ่มต้น ด้วยคุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่อรู้ว่าตนเอง เป็นโรคเรื้อรังที่ยากจะรักษาได้ แล้วแถมยังจะแย่ไปเรื่อยตามอายุขัย" ฉันได้ผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว จะบอกว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสนี้ เพราะถ้าไม่ป่วย ฉันจะไม่เคยรู้เลยว่าความสุขที่แท้ในชีวิตคืออะไร หลายคนอ่านแล้วคงรู้สึกว่าบ้าหรือเปล่าเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังแล้วมีความสุข ค่ะมันเป็นจริงอย่างนั้น เมื่อ พ.ศ. 2550 ฉันตั้งครรภ์ แรก ตอนนั้นอายุ ได้ 34 เกือบ 35 ปี ฉันเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลพิมาย สามีเป็นลูกจ้างพัสดุ ของโรงพยาบาล ฉันตั้นท้อง หลังจากแต่งงานได้ 2 ปีกว่า ๆ ครอบครัวสามีเป็นคนจีน เขาเป็นลูกชายคนสุดท้อง หลังแต่งงาน อาม่า และญาติๆอยกให้เรามีลูกอย่างน้อยสัก 2คน แต่ยากมาก ตั้งท้องได้ก็ดีใจสุดๆ แต่แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็ก็เกิดขึ้นกับชีวิต เมื่อครรภ์เริ่มโตขึ้น แขนขาข้างซ้ายขยับลำบาก แขนไม่แกว่ง ขาเดินลากๆ ฉันคิดว่า เป็นเพราะท้อง เพราะน้ำหนักขึ้นมาก 24 กก. คงอุ้ยอ้าย แต่คาดผิด หลังคลอดอาการฉันมากกว่าเดิม ฉันไม่มีนมให้ลูกกินแม้แต่หยดเดียว เริ่มเครียมเราเป็นพยาบาลไม่เคยเห็นคนที่ไม่มีน้ำนม เห็นเพียงมาน้อย ฉันเป็นคนแรกที่ ไม่มีน้ำนมแม้แต่หยด ทำทุกทาง ยาสมุนไพร หมอแผนปัจจุบัน พยายามอยู่ 1 เดือนหลังคลอด ก็รู้ได้ว่า มันไม่มีจริงๆ ฉันต้องการรับรู้ความรู้สึกของคนเป็นแม่ ตัดสินใจคลอดเอง จน อาจารย์ หมอท่ี่ดูแล บอกเป็นพยาบาลคนแรกที่ ขอคลอด NL ฉันอยากให้นมลูก แต่ก็ผิดหวังทั้ง 2 อย่าง ตอนคลอด พอปากมดลูกเปิดหมดย้ายเข้าห้องคลอด เริ่มเบ่ง ฉันเบ่งไม่ได้ เพราขาข้างซ้าย เป็นตะคริว ตลอด พอเลิกเบ่งหาย พอเบ่งเป็นตะคริวต่อ หมอต้องตัดสินใจ V/E หลังคลอดก็ไม่มีน้ำนม ซ้ำร้ายที่ฉันเคยบอกว่าตอนท้องแขนขาข้างซ้ายขยับลำบากนั้น มันมีอาการมากกว่าเดิม ฉันอุ้มลูกอาบน้ำไม่ได้ เพราแขนข้างซ้ายกับข้างขวาทำงานไม่สัมพันธ์กัน ใส่เสื้อผ้าให้ลูกได้ลำบาก แบบไม่ถนัดไปหมด เข้าใจว่า เป็นเพราะหลังคลอด แต่ฉันคิดผิด หลังคลอดเมื่อครบกำหนดลา 90 วัน ไปทำงาน อาการเคลื่นไหวลำบากก็ไม่หาย บุคลิกภาพเปลี่ยน ใบหน้าเฉยเมย แสดงความรู้สึกช้า แต่ฉันพยายามเฝือน เพราะไม่เข้าใจว่าตัวเอง เป็นอะไร ทำงานช้าคิดช้า บางทีคิดไม่ออก ในสิ่งที่เคยทำได้ แต่ตอนนี้ฉันทำไม่ได้ เช่นงานฝีมือ ฉันชอบงานฝีมือ ที่สุด เย็บปักถักร้อยไม่ได้เลย ทำวานที่ละเอียดไม่ได้ เขียนหนังสือดูและไม่ใช่ลายมือตัวเอง หลังคลอดได้ประมาณ 5-6 เดือนเริ่ม ปรึกษา เพื่อๆ ที่เป็นแพทย์ ในโรงพยาบาล ว่าอาการอย่างนี้ฉันเป็นอะไร เดิม ฉันเรียนเก่ง จบพยาบาลเกียรตินิยมอันดับสอง เป็นนักกีฬาบาสเกตบอล เป็นคน Alert ชอบงานกิจกรรมต่างๆ แต่ตอนนี้กลับตะละปัด แพทย์ เริ่ม ให้ความเห็น สงสัย C-Spine compression แต่ตรวจทุกอย่างปกติกายภาพอยู่ เป็นเดือนไม่ดีขึ้น เอาสงสัย brain tomur แต่ sign ไม่เหมือน สุดท้ายทุกคนลงความเห็นว่าไปรักษาต่อที่รพ.มหาราช รู้มัย ได้ยินครั้งแรก หัวใจหล่นวูบ ไปอยู่ที่ตาตุ่ม ฉันเป็น Parkinson ฉันเป็นโรคคนแก่ตอนอายุไม่ถึง 35 ปี คุณว่ามันน่าขำหรือเศร้า แต่ฉันเลือกที่จะขำ เพราะงงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร คนแรกที่ฉันโทรบอกคือ นายแพทย์ชาญศักดิ์ คงเศรษฐกุล เจ้าของ website phimaimedicine แพทย์ยังไม่คิดจะเชื่อ และแล้วก็มีอะไรต่างๆที่เข้ามาในชีวิตที่ ฉันบอกว่าฉันโชคดี ที่เป็น โรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย แล้ว ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความสุขอย่างนี้ มีความสุขแทบทุกวัน ..............แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อนะ

หมายเลขบันทึก: 480534เขียนเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2012 18:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม 2013 05:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ..สังขารร่างกายคือความทุกข์ ไม่เที่ยง แต่ใจแยกทุกข์ออกไปได้อย่างที่เล่าว่ามีความสุขแม้ในสภาพเช่นนี้ ขอชื่นชม..จะติดตามอ่านต่อนะคะ

เป็นการเริ่มต้น.. ที่เข้มแข็งมากเลยค่ะ

เพิ่งจะมีเวลาได้เริ่มอ่านบันทึก "สุขใจที่ได้เป็นโรคพาร์กินสัน"

ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท