เรื่อง องคุลีมาลเถมาร
พระบรมศาสดา ทรงปรารภพระองคุลีมารเถระ เมื่อท่านเป็นคฤหัสถ์ เป็นโจรมีชื่อเสียงปรากฏ บุรุษ ๔๐ คนก็ไม่สามารถสู้ได้ ได้ฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก แล้วตัดเอานิ้วมือร้อยไว้เป็นพวงมาลัย เพื่อนับนิ้วจำนวน พระศาสดาได้เสด็จไปทรงทรมานให้ละพยศอันร้าย แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท ภายหลังได้กระทำความเพียรได้สำเร็จพระอรหันต์ ดำรงอยู่ควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
พระภิกษะทั้งหลายที่ไม่ทราบความ จึงประชุมพูดกันว่า พระองคุลิมาลเถระไปเกิดแล้วในที่ใดหนอ เพราะกรรมของตน
พระศาสดาเสด็จมาในที่ประชุมนั้น จึงตรัสว่า ปรินิพพานแล้ว
ครั้งหนึ่งพระภิกษุทั้งหลายพากันสงสัยจึงทูลถามว่า พระองคุลิมาลเถระ เมื่อเป็นคฤหัสถ์ ฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก ปรินิพพานได้หรือ
พระศาสดาก็ทรงรับว่า เออภิกษุทั้งหลาย แต่ก่อนองคุลิมาลไม่ได้กัลยาณมิตร จึงกระทำกรรมอันร้ายแรงนั้น(กรรมลามก) ภายหลังได้กัลยาณมิตร (คือเรา) แล้วเป็นผู้ไม่ประมาทละอกุศล คือ โลภ โกรธ หลง เสียได้ด้วย กุศลคือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จึงตรัสคาถาว่า
ยัสสะ ปาปัง กะตัง กัมมัง กุสะเลนะ ปะหียะติ.
โสมัง โลกัง ปะเภเสติ อัพภา มุตโตวะ จันทิมา.
แปลว่า กรรมเป็นบาปที่ผู้ใดทำแล้ว อันตนละเสียอยู่ ด้วยกุศล(คืออรหัตตมรรค)
ผู้นั้น ย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้เหมือนพระจันทร์ที่พ้มแล้วจากเมฆ ส่องหล้าให้แจ่มอยู่ ฉะนั้น
หนังสือ ธรรมสมบัติ หมวดที่ ๑๒ เป็นคาถามาในธรรมบท
แสดงความคิดเห็น : คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าจะมีกัลยาณมิตร ขอให้มีกัลยาณมิตรที่มีความคิดและปัญญาในทางธรรมความดี (คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)
นมัสการท่าน มาเขียนบ่อยๆนะครับ มีประโยชน์มากเลย
ชอบคำพูดนี้ครับ
เราหยุดแล้ว ท่านละหยุดหรือยัง...จำได้ว่าอ่านนานแล้ว....