รพ.หนองม่วง
รพ.หนองม่วง รพ.หนองม่วง รพ.หนองม่วง รพ.หนองม่วง

ยาต้านไวรัสเอดส์


ยาต้านไวรัสเอดส์

            ยาต้านไวรัสเอดส์ หมายถึง ยาที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งหรือออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัว การยับยั้งการเกาะจับและเข้าเซลล์ (Interference with attachment and entry) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 ยาต้านไวรัสเอดส์ตัวแรกมีจำหน่าย คือ AZT จนถึงปี ค.ศ. 1996 เริ่มมีการใช้ยาต้านไวรัสเอดส์หลายตัวผสมกัน ( HAART = Hight Active Antiretroviral Therapy ) จนทำให้เอดส์กลายเป็นโรคที่รักษาได้ แม้ไม่หายขาด มีกลไกการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ HIV หลัก ๆ 4 กลไกคือ
1. การยับยั้งขบวนการ Reverse Transcription (Inhibition of Reverse Transcription)
2. การยับยั้งขบวนการ Integration (Inhibition of Proviral Integration)
3. การยับยั้ง Transcription
4. การยับยั้ง Post-translation processing

NRTI

NNRTI

PI

FI

AZT (Zidovudine)
d4T ( Stavudine )
3TC ( Lamivudine)
ddI ( Didanosine)
ABC ( Abacavir)

NVP ( Nevirapine)

EFV ( Efavirenz )

IDV ( Indinavir )
RTV ( Ritronavir )
SQV ( Saquinavir )
LPV/RTV (Lopinavir/Ritronavir )
NFV ( Nelfinavir )
ATV ( Atazanavir )

ENF ( Enfuvirtide)

TDF ( Tenofovir )
FTC ( emtricitabine)
ddC ( Zalcitabine)

DVL ( Delavirdine )

APV ( Amprenavir)
FPV ( Fosamprenavir )

          นับตั้งแต่การพบผู้ป่วย AIDS รายแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2527 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ติดเชื้อ HIV ในประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจาก AIDS แล้วประมาณ 6 แสนคน ซึ่งส่วนหนึ่งเนื่องจากยาต้านไวรัสเอดส์ และยาสำหรับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสบางชนิด มีราคาแพงมาก ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่สามารถเข้าถึงยาได้ ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข ได้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์หลายรายการขึ้น ทำให้ราคายาลดต่ำลงเป็นอันมาก กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญได้กำหนดสูตรยาต้านไวรัสเอดส์ในโครงการเข้าถึงบริการยาต้านไวรัสเอดส์ขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

 1 สำหรับผู้ใหญ่

สูตรที่ 1 d4T + 3TC + NVP ( GPO-VIR )
สูตรที่ 2 2.1 d4T + 3TC + EFV ใช้ในกรณีที่มีอาการแพ้ยา NVP
2.2 AZT + 3TC + NVP ใช้ในกรณีที่มีอาการแพ้ยา d4T
ในกรณีที่มีผลข้างเคียงจากยา d4Tแต่สามารถควบคุมระดับปริมาณไวรัสในกระแสเลือดให้ < 50 copies/ml อาจพิจารณาลดชนาดยา d4T ลง เช่น จาก GPO-VIR S40 ลดเป็น GPO-VIR S30 หรือต้องแยกยาออกเป็น d4T, 3TC และ NVP และลด d4T เป็น 15 หรือ 20 mg ทุก 12 ชั่วโมง
2.3 AZT + 3TC + EFV ใช้ในกรณีที่มีอาการแพ้ยา NVP และ d4T
สูตรที่ 3 3.1 d4T + 3TC + IDV / RTV หรือ
3.2 AZT + 3TC + IDV / RTV

2. สำหรับเด็ก

สูตรที่ 1 d4T + 3TC ( หรือ AZT + 3TC ) + NVP ในกรณีที่เป็นเด็กน้ำหนัก > 20 กิโลกรัม ให้ใช้ GPO-VIR ตามน้ำหนักตัวเป็นยาตัวแรก ( สามารถหักเม็ดแบ่งได้ )
สูตรที่ 2 d4T + 3TC ( หรือ AZT + 3TC ) + EFV
สูตรที่ 3 d4T + 3TC + IDV / RTV หรือ AZT + 3TC + IDV / RTV ใช้ในกรณีซึ่งแพ้ยา NVP และEFV หรือไม่สามารถรับยาได้ และเป็นเด็กโตที่สามารถรับประทานยาเม็ดได้
ในกรณีซึ่งไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ยา NVP, EFV และ IDV / RTV และ CD4 > 15% ให้ลดจากสูตรยาสามชนิดเหลือสองชนิด คือ d4T + 3TC หรือ AZT + 3TC

สูตรพื้นฐานยาต้านเอชไอวีกรณีผู้ป่วยผู้ใหญ่ ประกอบด้วย

สูตรพื้นฐานกลุ่ม A เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ในการได้รับยาต้านเอชไอวี

1. Stavudine (d4T) + Lamivudine (3TC) + Nevirapine (NVP) หรือ
2. Stavudine (d4T) + Lamivudine (3TC) + Efavirenz (EFV) หรือ
3. Zidovudine (AZT) + Lamivudine (3TC) + Nevirapine (NVP) หรือ
4. Zidovudine (AZT) + Lamivudine (3TC) + Efavirenz (EFV) หรือ

* Zidovudine (AZT)+Lamivudine (3TC) หรือ Stavudine (d4T) + Lamivudine (3TC) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีและสามารุผลิตได้ในประเทศไทย ราคาถูก
* Nevirapine (NVP) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาดี สามารถผลิตได้ในประเทศไทยซึ่งราคาถูก และมียาในรูปเม็ดรวมซึ่งจะช่วยเพิ่มความสม่ำเสมอในการรับประทานยาได้
* Efavirenz (EFV) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี รับประทานเพียงวันละครั้ง ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้หรือเกิด ตับอักเสบรุนแรง จาก Nevirapine (NVP) ห้ามใช้ Efavirenz (EFV) ในหญิงตั้งครรภ์

สูตรพื้นฐานกลุ่ม B เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ในการได้รับยาต้านเอชไอวี และไม่สามารถทนผลข้างเคียงหรือแพ้ยาสูตรพื้นฐานกลุ่ม B

1. Stavudine (d4T) + Lamivudine (3TC) + Indinavir (IDV) + Ritonavir (RTV)
2. Zidovudine (AZT) + Lamivudine (3TC) + Indinavir (IDV) + Ritonavir (RTV)

* ใช้ Indinavir (IDV) 400-600 มก./ Ritonavir (RTV) 100 มก. วันละ 2 ครั้งในกรณีที่มี

ผลข้างเคียงอย่างรุนแรงจากยา Nevirapine (NVP) และ Efavirenz (EFV) ยา Indinavir (IDV)/Ritonavir (RTV) เป็นสูตรยาแบบ boosted PI ที่มีราคาถูกที่สุดในปัจจุบัน ต้องติดตามการทำงานของไตอย่างน้อยทุก 6 เดือน ด้วยการตรวจ serum creatinine

สูตรพื้นฐานกลุ่ม C เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ในการได้รับยาต้านเอชไอวีในกลุ่มนี้และไม่สามารถทน ผลข้างเคียงหรือแพ้ยาสูตรพื้นฐานกลุ่ม A และสูตรพื้นฐานกลุ่ม B ได้ การปรับเปลี่ยนมาใช้ยากลุ่ม C นี้ต้องได้รับการอนุมัติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน HIV/AIDS ก่อน

1. Didanosine (ddI) + Lamivudine (3TC) + Efavirenz (EFV)
2. Didanosine (ddI) + Lamivudine (3TC) + Nevirapine (NVP)
3. Tenofovir (TDF) + Lamivudine (3TC) + Efavirenz (EFV)
4. Tenofovir (TDF) + Lamivudine (3TC) + Nevirapine (NVP)
5. Didanosine (ddI) + Lamivudine (3TC) + Nevirapine (NVP)
6. Tenofovir (TDF) + Lamivudine (3TC) + Indinavir (IDV) + Ritonavir (RTV)

การปรับเปลี่ยนสูตรยาในสูตรพื้นฐาน

เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ในการได้รับยาต้านเอชไอวี จะต้องเริ่มให้การรักษาด้วยสูตรพื้นฐาน กลุ่ม A ก่อนโดยเรียงลำดับจากสูตรที่ 1 – สูตรที่ 4 ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนผลข้างเคียงหรือแพ้ยาสูตรพื้นฐานกลุ่ม A ให้เปลี่ยนยาเป็นสูตรพื้นฐานกลุ่ม B โดยเรียงลำดับจากสูตรที่ 1 – สูตรที่ 2 เช่นกัน การปรับเปลี่ยนสูตรยาพื้นฐานในกลุ่ม A และ B แพทย์ผู้ให้การรักษาสามารถปรับเปลี่ยนสูตรได้ตามหลักวิชาการและตามความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น

แต่ถ้าผู้ป่วยมี Metabolic complication หรือ ทนผลข้างเคียงของยาสูตรพื้นฐานกลุ่ม A และ B ไม่ได้ ให้เปลี่ยนยาเป็นสูตรพื้นฐานกลุ่ม C ในกรณีที่เปลี่ยนสูตรยาจากสูตรพื้นฐานกลุ่ม A และ B มาเป็นสูตรพื้นฐานกลุ่ม C แพทย์ผู้ให้การรักษาจะต้องได้รับอนุมัติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน HIV/AIDS ในโรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย์ที่ได้รับการเห็นชอบจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ คณะผู้เชี่ยวชาญระดับเขต ซึ่งประกอบด้วย อายุรแพทย์ 2 ท่าน กุมารแพทย์ 1 ท่าน ผู้แทนจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคประจำเขต 1 ท่านและผู้แทนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสาขาเขตพื้นที่ 1 ท่าน

สูตรดื้อยากรณีผู้ป่วยผู้ใหญ่

สูตรดื้อยากลุ่ม D เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ในการได้รับยาต้านเอชไอวีในกลุ่มนี้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับอนุมัติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน HIV/AIDS สูตรดื้อยาประกอบด้วย

1. Stavudine (d4T)+Lamivudine (3TC) + Boosted PIs
2. Didanosine (ddI) + Lamivudine (3TC) + Boosted PIs
3. Zidovudine (AZT) + Lamivudine (3TC) + Boosted PIs
4. Zidovudine (AZT) + Didanosine (ddI) + Boosted PIs
5. Zidovudine (AZT) + Tenofovir (TDF) *+ Boosted PIs
6. Tenofovir (TDF) + Lamivudine (3TC) + Boosted PIs
7. Nevirapine (NVP) + Boosted PIs (กรณีดื้อต่อยากลุ่ม NRTI เท่านั้น)
8. Efavirenz (EFV) + Lamivudine (3TC) + Tenofovir (TDF) + Boosted PIs

( สูตร AZT + 3TC + TDF + Boosted PIs ใช้กรณี mulit NRTI resistance Q151M และหรือ T69Si และหรือ TAM มากกว่าหรือเท่ากับ 4)

* Tenofovir (TDF) เป็นยาที่ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยอายุมากกว่า 16 ปี

การใช้ Boosted PIs (Boosted Protease Inhibitors) เพื่อประกอบในสูตรดื้อยานั้น จะต้องใช้ยาเรียงลำดับดังต่อไปนี้

· Boosted PIs ลำดับที่ 1 ได้แก่ IDV/r ( Indinavir/Ritionavir) ถ้าผู้ป่วยทนพิษของยา IDV/r ( Indinavir/Ritionavir) ไม่ได้ ให้เปลี่ยนมาใช้ Boosted PIs ลำดับที่ 2

· Boosted PIs ลำดับที่ 2 ได้แก่ LPV/r ( Lopinavir/Ritonavir) ถ้าผู้ป่วยมี Lipid

Profile ไม่ดีหรือทนพิษของยา LPV/r ( Lopinavir/Ritonavir) ไม่ได้ ให้เปลี่ยนมาใช้ Boosted PIs ลำดับที่ 3

· Boosted PIs ลำดับที่ 3 ได้แก่ ATV/r (Atazanavir/Ritonavir)

 

คำสำคัญ (Tags): #ยาต้านเอชไอ
หมายเลขบันทึก: 479710เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2012 09:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 22:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

หลวงปู่วัดท่าซุง สอนว่าให้ใช้ยาตั้ง

รมควันก็ได้ สกัดเป็นน้ำก็ได้ 

น่าสนใจนะครับ

ยาสมุนไพรไทย เพิ่มภูมิต้ิานทาน ลองดูที่ http://topcd4.blogspot.com

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท