คำว่า “ไพร่” ที่ถูกนำเอามาบิดเบือนเป็นวาทกรรมในการ “หลอกระดม” มวลชนให้เกลียด “อำมาตย์” นั้น..ในสมัยโบราณมีความหมายที่เป็นกลางว่า “พลเมือง” หรือ “สามัญชน”
แต่ในยุคหลังนิยมเอาคำแขกมาใช้แทนคำไทย จนทำให้คำว่า “ไพร่” หายไป กลายมาเป็น “ประชาชน” หรือ “พลเมือง” ในที่สุด
ผู้ที่ไม่ใช่ไพร่ก็เป็น ขุนนาง (หรืออำมาตย์) ซึ่งวันนี้คือ ข้าราชการ นั่นเอง คนไทยเราสมัยก่อนจึงมี 3 ประเภท คือ เจ้า ขุนนาง และไพร่ โดยเจ้าบริหารประเทศผ่านขุนนางไปถึงไพร่
กฎมณเฑียรบาลสมัยก่อนกำหนดการแบ่งชนชั้น “เจ้า” ลดหลั่นลงมาจนถึง หม่อมเจ้า ต่อจากหม่อมเจ้า กำหนดให้มีสถานะเป็น “ไพร่”
ถ้าคำว่าไพร่หมายถึง “คนต่ำช้า” กฎหมายก็คงไม่ใช้คำคำนี้กับหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์เป็นแน่ ดังนั้น คำคำนี้จึงเป็นเพียง “คำกลางๆ” ที่ใช้กำหนดหน้าที่คนให้สอดคล้องกับระบบการบริหารรัฐกิจ
“ไพร่” ยังมีความหมายที่สองซึ่งหมายถึง “คนชั้นต่ำ” ซึ่งกลายมาเป็นความหมายหลักไปแล้วเนื่องเพราะความหมายที่หนึ่งสูญพันธุ์ไป จนทำให้พวก “หัวก้าวหน้า” บิดเบือนให้มาเป็นวาทกรรมเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ “ประชาชน” ให้เกลียดชังเจ้าและอำมาตย์นั่นแล
ใช่ว่าผู้ดีจะดูถูกไพร่ฝ่ายเดียว เพราะไพร่เองก็เสียดสีผู้ดีว่า “ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน” หรือ “ผู้ดีแปดสาแหรก” เด็กคนไหนทำอะไรนุ่มนิ่มแช่มช้าก็จะถูกดุแกมเสียดสีว่า “มึงเป็นผู้ดีแปดสาแหรกมาจากไหนวะ” ดังนั้นก็ถือได้ว่าพวกเขาทั้งสองมีความ “เท่าเทียมกัน” มีการ “คานอำนาจ” กันอยู่ในทีในเชิงวัฒนธรรม
พวก “หัวก้าวหน้า” ส่วนใหญ่จะเทิดทูนประชาธิปไตยตะวันตก เช่นอังกฤษ แต่พวกเขาคงลืมไปว่ารัฐสภาอังกฤษนั้นประกอบไปด้วย House of Lords (สภาเจ้า) และ House of Commons (สภาไพร่) ที่ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้
การปกครองโดยเจ้าของเผ่าไทยโบราณนั้น เป็นการปกครองที่ทำให้ “ไพร่ฟ้าหน้าใส” เป็นส่วนใหญ่ หลักฐานคือ วัดใหญ่กว่าวังมาก
สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นมหาราชที่จะเกณฑ์แรงงานไพร่มาสร้างวังให้ใหญ่โตเพียงใดก็ย่อมได้ แต่กลับทรงอยู่บ้านไม้หลังเล็กๆ คือ “วังจันทรเกษม” (ของเก่าที่ยังไม่ได้ต่อเติมใหม่) ซึ่งเล็กกว่าบ้านคหบดีบางคนเสียอีก คงทรงสงสาร “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” ที่ตรากตรำทำสงครามกู้ชาติมานาน
วังของสมเด็จพระนารายณ์ที่ลพบุรีที่ดูเหมือนว่าใหญ่โต ก็มีแต่พื้นที่และกำแพง มีตึกเล็กๆ ไม่กี่หลัง ในสมัยกรุงเทพฯ พระบรมมหาราชวังก็เล็กกว่าวัดพระแก้วมาก
กล่าวฝ่ายอังกฤษฝรั่งเศส วังบักกิ้งแฮม และวังแวร์ซาย รวมทั้งวังกษัตริย์อื่นๆ ในยุโรปนั้นใหญ่โตมโหฬารมาก เดินทั้งวันก็ดูไม่หมด วังเหล่านี้สร้างมาด้วยแรงงานไพร่และภาษีที่เก็บมาจากไพร่ทั้งนั้น แบบนี้ไพร่ฟ้าคงหน้าซีดกันเป็นแถวๆ จึงไม่แปลกอะไรที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ง่ายในยุโรป เพราะไพร่เคียดแค้นเจ้ามาก
ส่วนของเรา “ไพร่ฟ้าหน้าใส” เป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีแรงจูงใจให้คิดกบฏเพื่อสถาปนาระบอบไพร่อธิปไตยขึ้นมาในอดีต
สามัญสำนึกตื้นๆแบบนี้ นักวิชาการฝ่าย “หัวก้าวหน้า” ระดับ ศ.ดร. กลับคิดไม่ออก เพียงเพราะมีอคติต่อเจ้ามากเกินไป ไม่ได้มีใจ “เหนือกลาง” อย่างบริสุทธิ์ (objectivity ..ไม่อยากวงเล็บภาษาต่างด้าวเลย จะอาเจียร แต่เห็นท่าน ศ.ดร. ฝ่ายหัวก้าวหน้าท่านวงเล็บมากหลาย เพื่อแสดงภูมิรู้ข่มรากหญ้า ก็เลยขอเอาอย่างมั่ง)
สมัยเด็กเคยนิยมจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ด่าเจ้าศักดินาได้สะใจดีแท้ แต่พอแก่ตัวฉุกคิดว่า จิตร ผิดไปแล้ว เพราะจิตรมองไม่เห็นว่าระบบศักดินาเป็นเพียงขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์สังคมเพื่อความอยู่รอด (survival of the least stupid ก็ยังฟังพอกล้อมแกล้ม)
มันเป็นสิ่งจำเป็นในการปกครองสมัยโน้น เพราะเป็นทั้งการเกษตร การอุตสาหกรรม การค้า และการป้องกันประเทศไปในตัว การเกณฑ์แรงงานไพร่มาใช้นั้น อุปมาคือการจ่ายภาษีในสมัยนี้นั่นอง แต่เมื่อไม่มีเงิน ก็จ่ายด้วยแรงงาน
ถ้าไม่มีระบบศักดินาเพื่อเป็นฐานเศรษฐกิจ สังคมก็จะอ่อนแอ แล้วกษัตริย์เพื่อนบ้าน ก็จะบุกเข้ามากวาดต้อนคนไท ไปเป็นทาสจนหมดสิ้น เพราะข้อกำหนดการเมืองระหว่างประเทศสมัยโน้นคือการทำสงครามกวาดต้อนผู้คนเข้ามาในขอบขัณฑสีมาของตน
ถ้าเจ้าและขุนนางไม่เกณฑ์ไพร่มาสร้างกำแพงเมือง ฝึกอาวุธ ปลูกข้าว เอาไว้เป็นเสบียง ทั้งไพร่และผู้ดีไทยก็คงถูกกวาดต้อนไปเป็น “ทาส” ต่างชาติกันหมดสิ้นสกุลไทยนั่นแล
สมัยก่อนแม้แต่ลาว (เจ้าอนุ) เขมร (พระยาละแวก) ก็ส่งกองทัพมากวาดต้อนคนไทย ไม่ต้องพูดถึงพม่า
พวกท่านทั้งหลายที่กระหยิ่มจนทรนงตนว่า ”หัวก้าวหน้า” พึงสำเหนียกว่าที่ท่านมีแผ่นดินให้ยืนตะโกนด่าและสร้างวาทกรรมบิดเบือนเพื่อสร้างความแตกแยกในชาติ เพื่อหวังผลประโยชน์ตนและพวกได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะการเสียสละของเจ้า อำมาตย์ และไพร่ ที่ได้ร่วมสามัคคีกันสละเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ นานมา
ส่วนพวกท่านเป็นเพียงพวกที่เข้ามา “ชุบมือ” แล้วก็ “เปิบ” เลือด เหงื่อ น้ำตา ของไพร่ที่ร่วมปกป้องแผ่นดินกับอำมาตย์และเจ้า ตลอดมา...เท่านั้นเอง
ไม่ละอายบ้างหรือไร จะทำบาปกันไปถึงไหน
...คนถางทาง (๒๕๕๓)
สามัญสำนึกตื้นๆแบบนี้ นักวิชาการฝ่าย “หัวก้าวหน้า” ระดับ ศ.ดร. กลับคิดไม่ออก
หากระดับผู้นำ มีบทบาท อิทธิพล เชื่อมประสาน ยังคิดไม่ได้ เรายังมีหวังไหมคะอาจารย์ :)
คนเขียนคงสะใจ อิอิ คนอ่านก็สะใจ