กระท่อม
พฤติกรรมการใช้พืชกระท่อม
๑. การใช้พืชกระท่อมแบบดั้งเดิม มีวัตถุประสงค์เพื่อการทำงาน โดยการเคี้ยวใบสด เพื่อให้สามารถทำงานกลางแดดได้นาน หรือใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค เช่น ลดอาการไอ ปวดท้อง เบาหวาน (ลดน้ำตาลในเลือด) ฯลฯ ผู้ใช้กระท่อมอาจเคี้ยวใบกระท่อมร่วมกับน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
๒. การเสพกระท่อมผสม เยาวชนใช้น้ำต้มใบกระท่อมผสมกับโค้ก ยาแก้ไอ และสารอื่น ๆ รู้จักกันในชื่อ “สี่คูณร้อย” ซึ่งชื่อจะแตกต่างกันไปตามที่กลุ่มผู้ใช้ตั้งชื่อเมื่อมีการผสมสารประกอบอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพบว่ามีการใช้สี่คูณร้อยร่วมกับบุหรี่ กัญชา รวมถึงอัลปราโซแลม การใช้พืชกระท่อมผสมเกิดขึ้นเมื่อมีการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ทำให้ยาเสพติดอื่นๆ หายาก จึงมีการคิดค้นกระท่อมผสมเป็นสารทดแทน (ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖) และมีการนำกระท่อมผสมไปเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากมีการสร้างความเชื่อว่าเสพสี่คูณร้อยแล้วเกิดความฮึกเหิม
ผลของพืชกระท่อมต่อร่างกาย
จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า อัลคาลอยด์ mitragynine ในใบกระท่อมมีฤทธิ์ระงับอาการปวดได้
เช่นเดียวกับมอร์ฟีน แต่ฤทธิ์อ่อนกว่ามอร์ฟีน ๑๐ เท่า ใช้บำบัดอาการติดฝิ่นหรือมอร์ฟีนได้ เมื่อใช้เป็นเวลานาน จะเกิดการดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณที่ใช้ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ จนเกิดการติดยาในที่สุด หากบริโภคเป็นเวลานาน ผิวหนังจะหยาบกร้าน หน้าสีคล้ำเขียว เบื่ออาหาร ผอม แก้มตอบ หมดแรง และซึมเศร้า หากหยุดใช้จะมีอาการไม่สบายตัว ง่วงหาว น้ำตาไหล ปวดเมื่อย วิตกกังวล
จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ถึงผลของน้ำต้มใบกระท่อมกับหนูขาว พบว่า กระท่อมมีผลลดน้ำตาลในเลือด ระงับอาการถ่ายท้อง รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้สารในกระท่อมมีฤทธิ์ต้านอาการซึมเศร้าได้
ประเด็นการเฝ้าระวัง
การใช้กระท่อมผสม ร่วมกับยากล่อมประสาท พบว่ามีการใช้ สี่คูณร้อย ร่วมกับ ยา “มาโน่” ซึ่งจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และเป็นสารกลุ่มเดียวกับอัลปราโซแลม ซึ่งเยาวชนสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา (ซึ่งปกติเป็นยาที่ต้องซื้อโดยมีใบสั่งแพทย์) เมื่อเยาวชนเสพจะง่วงนอนทั้งวัน อาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมทางเพศ หรืออื่นๆ ตามมา
ประเด็นที่เกี่ยวข้องในการนำไปพัฒนานโยบาย/มาตรการ
๑. อาการเสพติดของพืชกระท่อมมีความแตกต่างจากการติดสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งกระท่อม
เป็นเพียง “ภาวะการพึ่งพิงยา” คล้ายๆ กับการใช้ยาคลายกังวล ซึ่งในการรักษาทางการแพทย์สามารถควบคุมอาการข้างเคียงต่างๆ ได้ ดังนั้น การกำหนดกระท่อมเป็นพืชเสพติด ส่งผลต่อการพัฒนาการรักษาและการใช้พืชสมุนไพรในทางการแพทย์
๒. พืชกระท่อมมีความเชื่อมโยงกับมิติวัฒนธรรมในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะรู้สึกกระทบกระเทือนใจเมื่อต้นกระท่อมที่มีอยู่ถูกตัดทำลาย เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ลำบากใจที่จะตัดทำลาย แต่ไม่ต้องการทำผิดกฎหมาย บางครั้งจึงต้องใช้มาตรการเชิงบริหารมาใช้ โดยตัดบางส่วน และให้ประชาชนได้ใช้บางส่วน
๓. ปัญหาตัดฟันพืชกระท่อมในป่าต้นน้ำ ซึ่งทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่เมื่อผู้ค้าใบกระท่อมหากระท่อมในประเทศไม่ได้ จึงเริ่มพบการจับกุมพืชกระท่อมที่นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย ดังนั้นมาตรการตัดทำลายอาจไม่ได้ผลและก่อให้เกิดความต้องการใบกระท่อมนำเข้าจากต่างประเทศ
๔. ควรมีการสะท้อนปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับพืชกระท่อมของภาคประชาชนในมิติสังคมและวัฒนธรรม เพื่อให้ฝ่ายการเมืองรับทราบ รวมทั้งการจัดทำสารคดีเกี่ยวกับประโยชน์ของพืชกระท่อม และความเชื่อมโยงของวิถีชาวบ้านเพื่อให้สังคมเข้าใจมากขึ้น
๕. ในด้านกฎหมาย ควรแยกฐานความผิดในการเสพพืชกระท่อม โดยการใช้ใบสดไม่ผิดกฎหมาย และไม่ควรมีบทลงโทษ โดยแยกจากกรณีขนส่งใบกระท่อมจำนวนมาก และการเสพกระท่อมผสม จึงมีความผิดตามกฎหมาย
มีข้อเสนอถึงการออก “กฎหมายสิ่งปรุงแต่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” ซึ่งเป็นการจัดการกับปัญหาการปรุงแต่งสารเสพติดทุกประเภท รวมถึง สี่คูณร้อย ทั้งด้านการแปรรูป ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือเพื่อประโยชน์ทางการค้าควรได้รับโทษ
๖. ในกรณีเยาวชนรวมกลุ่มเสพสี่คูณร้อย ควรให้ภาคประชาชนเข้ามาดูแล ตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ตลอดจนให้ชุมชนเข้ามาดูแลจัดการพื้นที่ที่มีต้นกระท่อมเพื่อมิให้เยาวชนนำใบไปต้มเป็นกระท่อมผสม
๗. ควรอนุญาตให้นักวิชาการสามารถครอบครองพืชกระท่อมเพื่อการวิจัย ทดลองได้ เพื่อ ประโยชน์ในการพัฒนายารักษาโรค และลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ เนื่องจากพืชกระท่อมมีสรรพคุณที่มีผลวิจัยเบื้องต้นรับรองว่าสามารถนำไปรักษาโรคได้หลายโรค
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมระหว่างผู้เกี่ยวข้องหลายครั้งพบว่ามีข้อเสนอถึงการขาดผลงานวิจัยรองรับการตัดสินใจเชิงนโยบาย กรณีโทษพิษภัยของพืชกระท่อมต่อร่างกายผู้เสพ งานวิจัยที่ผ่านมาศึกษากับหนูขาว ซึ่งเป็นการสกัดสาร mitragynine จากกระท่อมสด หรือกระท่อมแห้งตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งผลการวิจัยไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่ามีผลเหมือนหรือแตกต่างจากกรณีที่มีการเคี้ยวใบกระท่อมซึ่งเป็นการย่อยสารโดยเอนไซม์ในน้ำลายของมนุษย์โดยตรง และยังขาดการศึกษาวิจัยติดตามผู้เสพพืชกระท่อมไปข้างหน้า/ระยะยาว ว่าผู้เสพได้รับผลจากพืชกระท่อมอย่างไร ทั้งนี้ เนื่องจากการวิจัยดังกล่าวต้องใช้งบประมาณ และระยะเวลาจำนวนมาก ตลอดจนจริยธรรมการศึกษาวิจัยในมนุษย์มีข้อจำกัดมาก
ไม่มีความเห็น