จารุวรรณ
นางสาว จารุวรรณ วัลย์ รัตนทวีชัยพร

ข้อคิดจากประสบการณ์สอน


การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ครั้งหนึ่งเมื่อชีวิตในวัยเรียน ข้าพเจ้าได้รับความรู้จากครูที่สอนด้วยกระบวนการต่างๆที่ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงไม่ได้สนใจ รู้สึกได้แต่ว่าได้ความรู้ ได้สนุกสนานกับกิจกรรมที่ได้ในแต่ละวิชาแต่ละวัน วันเวลาผ่านไปความรู้นั้นก็เพิ่มมากขึ้น กว้างขวางขึ้น และรู้ว่ามีอะไรที่น่าสนใจ น่าค้นหา มากมายในโลกใบนี้จนมาวันหนึ่งได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตนเองจากผู้รับความรู้มาเป็นผู้ถ่ายทอดและชี้แนะแนวทางแสวงหาความรู้ให้กับนักเรียน หรือ การสอนหนังสือ เป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักและคำเดียวกันนี้อาจแปลได้หลายอย่าง เข้าใจได้หลายความหมายอยู่ที่แต่ละบุคคลว่าจะเข้าใจอย่างไร แต่เป็นคำเดียวที่ข้าพเจ้าว่ามีความหมายและเป็นคำที่ปฏิบัติได้ไม่ง่ายเลย จากการสอนหนังสือ สาระสังคมศึกษาฯ เกือบ 4 เดือนที่ข้าพเจ้าได้อยู่กับนักเรียน การสอน เป็นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ได้เรียนรู้ จนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์ โดยการเน้นให้นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ เน้นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถ้านักเรียนรู้จัก คิดและวิเคราะห์ ก็จะสร้างการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากตนเองได้เป็นความรู้ที่ยั่งยืน แต่ก็เกิดความท้อแท้บางครั้งเมื่อนักเรียนบางคนไม่เก่ง ไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่สอนไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันพึงประสงค์ที่ดีหมดทุกคน อาจมีสาเหตุหลายประการ เมื่อได้คิด พิจารณา และปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ และคิดว่านักเรียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนแต่ละความคิด ข้าพเจ้าได้อ่านบทความหนึ่ง แล้วประทับใจมาก สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของข้าพเจ้าได้ “ผู้ใหญ่ยังชอบต่อว่า เด็กๆ ซน ดื้อ ขี้อาย ไม่เก่ง ขี้เกียจ ไม่รู้จักไหว้ พูดไม่เพราะ ฯลฯ ว่าเด็กสารพัด สาเหตุที่เด็กเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะ .............. ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ เราว่าเขาซน เพราะเราไม่มีอะไรให้เขาทำ เรามีงานทำ แต่ซนของเขา คืองานของเรา เราว่าเขาดื้อ เพราะเขาไม่ทำตามใจเรา เราไม่เคยถามความต้องการของเขา เราว่าเขาขี้อาย เพราะเราลืมตัวว่าเราก็ขี้อายเหมือนกัน เราเกิดก่อนเขาตั้งหลายปี เราว่าเขาไม่เก่ง เพราะเราฝึกหัดเขาไม่จริงจัง ลิงยังเก็บมะพร้าวได้ ช้างยังลากซุงได้ เพราะผ่านการฝึก แล้วเด็กของเราผ่านการฝึกอะไรจริงจังบ้าง เราว่าเขาขี้เกียจ เพราะเขาไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ต้องทำ ลองบอกไปเที่ยวสิ ไม่เห็นขี้เกียจเลย เพราะมันสนุก เราว่าเขาไม่ไหว้ เพราะเราไม่รับไหว้เขา เพราะพูดแต่สวัสดี เขาไม่ตอบว่าสวัสดี ก็ดีเท่าไรแล้ว เราว่าเขาพูดไม่เพราะ เพราะเราพูดกับเขาอย่างไพเราะน้อยมาก ประโยคส่วนใหญ่ของเราเติม ค่ะ ครับมากพอไหม เราว่าเขาไม่เก็บของ เพราะเราคอยเก็บเมื่อเขาไม่เก็บ แล้วจะให้เขาเก็บอะไร เราว่าเขาโกหก เพราะเมื่อเขาบอกความจริง เราแสดงความไม่พอใจ เราดุเขา แล้วเขาจะกล้าพูดความจริงได้อย่างไร เราว่าเขาไม่อดทน เพราะเราไม่อดทนเวลาที่เห็นเขาไม่อดทน เราให้เวลาเขาปรับตัวยอมรับสิ่งใหม่ๆไม่มากพอ เราว่าเขาไม่รู้เวลา เพราะเราไม่เคยให้เวลาเป็นของเขาเลย วันทั้งวันมีแต่เวลาที่เรากะเกณฑ์ไว้ พอเขาจะมีเวลาเป็นของตัวเอง เราก็บอกหมดเวลาอีกแล้ว” ทำให้คิดได้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำทุกวันเหมือนการได้หล่อรูป ถ้าแม่พิมพ์ไม่สวย ผลงานออกมาก็ไม่สวย การจะพัฒนานักเรียนต้องเริ่มที่ตัวเองก่อนดังนั้น ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพยามที่จะแสวงหาความรู้ทั้งจากในหนังสือ และแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อพัฒนาความรู้อยู่เสมอ
หมายเลขบันทึก: 47750เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2006 11:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 09:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
เป็นกำลังใจให้คุณครูนะครับ ... ไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จ ขอให้คุณครูหาจุดยืนและความสุขที่เหมาะสมกับชีวิตเรา ให้โอกาสได้พัฒนา และแก้ไขตนเอง เท่านั้นก็น่าจะพอนะครับ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งไหนที่แน่นอน แม้เวลาผ่านไป  อะไรๆในโลกก้อเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  ถ้ากาลเวลาผ่านไปโดยที่เราไม่ทำสิ่งที่ผ่านมาให้ดีที่สุดเราก้อไม่สามารถย้อนเวลากลับไปทำสิ่งที่เราอยากทำได้ เราควรทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุด สิ่งที่ผ่านมาคืออดีตเราคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้ "โอกาส"มีให้เราแก้ไขเสมอ

"ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ"

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท