เล่าจากปลายนา จากคนอนาถาชายทุ่ง
ท้องทุ่งอันเขียวขจีและกว้างใหญ่
มองแล้วรู้สึกสบายตาสบายใจอย่างยิ่ง
ยามตะวันใกล้ลับขอบฟ้านั้น
บรรยากาศเย็นลงช่วยคลายความร้อน
จากที่อากาศร้อนระอุมาทั้งวัน
สายฝนโปรยปรายจากฟ้า เสียงกบและเขียด*ร้อง
ได้ยินชัดถนัดทั่วท้องนา พ่อแม่และลูก
เก็บอุปกรณ์การทำนาไว้ที่เถียงนา*
ก่อนพากันเดินกลับเข้ามาที่หมู่บ้าน
ความรู้สึกนี้เมื่อระลึกถึงคราใด
ก็มีสุขไม่เคยเลือนหายจากใจได้
นี่แหละหนอชีวิตชาวนาที่มีความสุข
ไม่ต้องเร่งรีบแต่ก็ทำนาไปเรื่อยๆ อย่างเต็มที่
รอคอยผลผลิตนั่นคือรวงทองของต้นข้าว
อันเป็นผลที่มีค่าอย่างมากกับการรอคอยมานานเกือบ
๔ เดือนเต็มๆ จากนั้นก็เริ่มการเกี่ยว
ตามด้วยการตีข้าว*ก่อนนำขึ้นเก็บไว้ที่เล้า*
กว่าจะเสร็จสิ้นการปักดำ ดูแล เก็บเกี่ยว
ก็ต้องอาศัยเวลานานไม่น้อยเลย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉันและครอบครัว
จะอนาถาทรัพย์สิน แต่ฉันและครอบครัวไม่ได้เคยอนาถา
"ความรักและความพอเพียงในการดำเนินชีวิต"
อันเป็นวิถีแห่งบรรพบุรุษ ที่รักษา
การเลี้ยงชีพด้วยการทำนาและกสิกรรม
และแน่นอนที่สุดว่า "ฉันนั้นเคารพรักในอาชีพนี้อย่างมาก"
เมื่อพ่อและแม่ของฉันท่านไม่อยู่แล้ว "ฉันจะยังคงทำนาผืนทองอันล้ำค่า"
แห่งนี้สืบต่อไป....
* แทนสัญญาลักษณ์ ภาษาถิ่น มีความหมายดังนี้
เขียด หมายถึง สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกบแต่ตัวเล็กกว่า แถบอีสานเรียก เขียด หรือ เขียดน้อย
เถียงนา หมายถึง ที่พักชั่วคราวหรืออาจถาวรในบางครอบครัว ปลูกเป็นหลังๆ คล้ายเพิงที่พัก
ตีข้าว หมายถึง การนวดข้าวเป็นวิธีโบราณที่สืบต่อกันมา ตามแต่ละท้องถิ่น
เล้า หมายถึง ยุ้งฉางใช้สำหรับเก็บข้าวเปลือกภายหลังการนวดเสร็จแล้ว
หมายเหตุ ความหมายของคำต่างๆข้างต้น เป็นความหมายที่ผู้เขียนเขียนขึ้นเฉพาะ เพื่ออธิบายให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ เท่านั้น...
ไม่มีความเห็น