ตามรอยคนดี


     วันรุ่นถือเป็นวัยที่คึกคะนอง  อยากเรียนรู้ อยากทดลอง ในสิ่งต่าง ๆ ที่ยังไม่เคยทำ ถ้าเรียนรู้ในสิ่งที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดก็ทำให้ชีวิตแย่ได้เหมือนกัน  ดังเช่นชีวิตของ  วัชรพร  อายุ 14  ปี  เป็นบุตรคนเดียวของนายสนองพงษ์กับนางวราภรณ์  พ่อและแม่เลิกกันตั้งแต่วัชรพรยังจำความไม่ได้ วัชรพรไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าแม่ของตนเองว่ามีลักษณะอย่างไร เนื่องจากพ่อมีนิสัยเจ้าชู้มีภรรยาหลายคน ชอบเที่ยวเตร่ตามร้านอาหาร ทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่ม พ่อของเธอมีลูกรวม 4 คน แต่จะเป็นคนละแม่กัน  พ่อของวัชรพรประกอบอาชีพเป็นโฟร์แมนคุมงานก่อสร้างประเภทก่อสร้างถนนที่บริษัทแห่งหนึ่ง  โดยเมื่อพ่อเลิกกับแม่แล้วนั้นพ่อของเธอไปจ้างผู้อื่นเลี้ยงอยุ่ที่จังหวัดชลบุรี  แต่คนรับจ้างไม่สามารถเลี้ยงเธอได้ เนื่องจากเธอเลี้ยงยากและร้องไห้ไม่ยอมนอน พ่อจึงรับมาอยู่ด้วย ซึ่งขณะนั้นพ่อได้มีภรรยาใหม่ชื่อสำรวย โดยพ่อและแม่เลี้ยงของวัชรพรจะเลี้ยงและดูแลวัชรพรแบบตามใจมาโดยตลอด หากอยากได้อะไรก็จะร้องให้และก็จะต้องได้ในสิ่งที่ตนต้องการ  วัชรพรเข้าใจว่า นางสำรวย แม่เลี้ยงเป็นแม่ที่แท้จริงมาโดยตลอด จนกระทั่งได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แม่ที่แท้จริงของวัชรพรก็ได้มาหาที่โรงเรียนอำนวยวิทย์ และมาบอกกับคุณครูว่าเป็นแม่ของเธอ แต่วัชรพรก็ไม่ได้รู้สึกผูกพัน เนื่องจากวัชรพรจะผูกพันกับแม่เลี้ยงมากกว่า  แม่ที่แท้จริงก็เทียวมาหาอยู่บ่อย ๆ และพาออกไปทานไอศกรีมหลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งวัชรพรขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

          พ่อและแม่เลี้ยงมีปัญหากันเนื่องจากพ่อมีภรรยาใหม่อีก และภรรยาใหม่เริ่มมาอาละวาดแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงจึงย้ายออกไปอยู่ที่อื่น  วัชรพรรู้สึกไม่สบายใจเครียดกังวล  และร้องให้ตลอด ขอร้องไม่ได้แม่เลี้ยงไป แต่เมื่อกลับจากโรงเรียนแม่เลี้ยงก็ออกจากบ้านไปแล้ว วัชรพรรู้สึกเหงา ว้าเหว่ และได้โทรศัพท์ไปหาแม่เลี้ยงอยู่บ่อย ๆ ให้แม่เลี้ยงกลับมาและครั้งสุดท้ายที่โทรศัพท์ไปก็ขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย แม่เลี้ยงจึงกลับมาและในที่สุดแม่เลี้ยงเลิกกับพ่อของเธอ ทำให้เธอต้องไปอยู่กับแม่ที่แท้จริงและต้องย้ายไปเรียนที่จังหวัดจันทบุรี  แม่และพ่อเลี้ยงมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ในช่วงที่ไปอยู่กับแม่เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก  เพราะบ้านจะห่างไกลจากตัวเมืองและเพื่อน ๆ  แม่ฐานะไม่ค่อยดีอยากได้อะไรก็ไม่ได้  ได้เงินไปโรงเรียนก็น้อย อยู่กับแม่เลี้ยงจะได้เงินใช้จ่ายวันละ 50 บาท แต่ที่นี่ได้เพียง 20 บาท  วัชรพรไม่ชอบ เริ่มจะหาวิธีแก้ปัญหาโดยการแอบสูบบุหรี่เพราะเห็นแม่สูบ เมื่อสูบครั้งแรกแล้วรู้สึกหายเครียดคลายทุกข์ได้ จึงแอบสูบมาตลอดได้ระยะหนึ่งและจึงได้หันหาสูบกัญชา โดยใช้บ้องสูบ โดยพ่อเลี้ยงให้ลองเสพ เมื่อเสพเข้าไปแล้วจะรู้สึกมึนเมาหัวเราะครื้นเครง และจะแอบสูบร่วมกับพ่อเลี้ยงทุกครั้งที่แม่ไม่อยู่ วัชรพรไม่เคยต้องทำงานบ้านเองมาก่อน แต่เมื่อมาอยู่กับแม่จะถูกบังคับให้ทำจึงไม่พอใจ จึงทำแบบกระแทกกระทั้นและแม่ก็เริ่มด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทำให้วัชรพรโกรธมาก เพราะไม่เคยมีใครด่ามาก่อนและแม่จะเป็นคนปากร้ายไม่ถูกกับเพื่อนบ้าน และเมื่อเธอไปกับเพื่อนบ้านก็จะทำให้แม่โกรธและเคยใช้ไม้ตีหัวเธอ ยิ่งทำให้วัชรพรไม่พอใจแม่มากขึ้น จนกระทั่งแม่ได้พาเธอมาอยู่ในตัวเมืองจันทบุรี เพราะแม่ทะเลาะกับพ่อเลี้ยงโดยแม่มารับจ้างล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  และวัชรพรเสริฟอาหาร พอเริ่มหาเงินได้ด้วยตนเองก็เริ่มมีความรักกับผู้หญิงด้วยกัน รู้จักเพื่อนเริ่มออกเที่ยวเตร่ ไม่กลับบ้านและเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว จึงถูกแม่ทำโทษอยู่บ่อย ๆ และเมื่อทนไม่ไหวก็หนีไปอยู่กับแม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริงก็มาตามแต่วัชรพรก็ไม่ยอมกลับและเมื่อได้กลับมาอยู่กับแม่เลี้ยงก็ได้มาเข้าเรียนที่โรงเรียนเทศบาล 2 และได้เลิกบุหรี่กับกัญชาโดยเด็ดขาด แต่เริ่มออกเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนอย่างเคยเพราะเป็นคนติดเพื่อนมาก และได้หวนกลับมาสูบบุหรี่อีก วัชรพรได้หนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนและเสพยาบ้า โดยเพื่อนนำมาให้สูบ โดยจะสูบวันละ 2 - 3 เม็ด จากแค่เสพก็เริ่มขาย เพื่อนจะนำยาบ้ามาให้ครั้งละ 10 เม็ด จะขายเม็ดละ 200 บาท  เงินที่ได้จากการขายยาก็จะนำไปเป็นเงินเดิมพันแข่งรถจักรยานยนต์ และเริ่มขายในจำนวนที่มากขึ้นโดยจะไปส่งครั้งละ 100 เม็ด เคยมีคนซื้อยาไปแล้วไม่จ่ายเงินก็จะพาพวกไปทำร้ายร่างกายคนนั้น ชีวิตช่วงนั้นไม่เคยรู้สึกกลัวหรือนึกถึงอนาคตของตนเองเลย แต่ขอให้มีเงินใช้จ่ายไม่ขาดก็พอ จนกระทั่งเริ่มมีการปราบปรามยาบ้าและเริ่มหายาบ้าได้ยากขึ้น เงินที่ได้จากการขายก็หมดไป จึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือของเพื่อนที่เรียนด้วยกันไปโดยตั้งใจจะแกล้งเพื่อน แต่ตนเองไม่มีเงินจึงได้นำไปขายและนำเงินที่ได้ไปสูบกัญชาจนถูกจับกุมเข้าสถานพินิจจังหวัดจันทบุรี

          โดยระหว่างการสอบปากคำวัชรพรไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากนัก แต่เมื่อเห็นว่าทางเจ้าหน้าที่ดูแลตนเป็นอย่างดี วัชรพรจึงให้ความร่วมมือด้วย ศาลพิพากษาให้รอการกำหนดโทษในระยะเวลา 2 ปี และให้คุมประพฤติ 1 ปี และให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ระหว่างคุมประพฤติห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสิ่งมึนเมาทุกชนิด ห้ามคบหากับบุคคลที่มีความประพฤติไม่ดี ห้ามเที่ยวกลางคืนและห้ามเล่นการพนัน ให้ทำงานบริการสังคมและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ 20 ชั่วโมง วัชรพรรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องติดคุกและถูกปล่อยตัวออกมาจึงเริ่มปฏิบัติและประพฤติตัวให้ดี แต่ก็ทำตัวดีได้ไม่ถึงสัปดาห์ วัชรพรก็เริ่มเป็นเหมือนเดิม ให้มารายงานตัวต่อพนักงานก็มาบ้างไม่มาบ้าง ในระหว่างนั้นก็จะเสพยาบ้า สูบกัญชาและฉีดเฮโรอีนด้วย พ่อแม่มาตามหาก็ไม่เจอเพราะเธอหลบเลี่ยงอยู่ตลอดเวลา  จนกระทั่งพนักงานคุมประพฤติได้เรียกผู้ปกครองมาพบและรายงานศาล เนื่องจากพฤติกรรมม่ดีขึ้นศาลจึงสั่งคุมประพฤติต่อทุก 15 วัน  วัชรพรจึงเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง  โดยพยายามปรับตัวทุกคนเริ่มให้กำลังใจและเธอเองก็รู้สึกสำนึกผิด และได้แจ้งความจำนงต่อสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดจันทบุรี  ขอไปบำบัดอาการติดยาที่โรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี รักษาอยู่ 1 เดือน  จนสามารถเลิกยาได้ วัชรพรเห็นว่าเป็นเพราะสำนักงานคุมประพฤติและสังคมรอบข้างให้โอกาส จนตนเองสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสำนักงานคุมประพฤติได้เป็นอย่างดี

          ปัจจุบันวัชรพรเป็นคนใหม่ จากเดิมจะเป็นคนซูบผอม โกหกเก่ง ได้ปรับปรุงตนเองจนเป็นคนเลิกก้าวร้าวและร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่คบเพื่อนเที่ยวเตร่ และติดยาอีก  เริ่มประกอบอาชีพรับจ้างอยู่กับบิดาโดยทำหน้าที่ขับรถบดถนน มีรายได้วันละ 150 บาท  และในอนาคตข้างหน้าวัชรพรตั้งใจว่าจะเรียนต่อให้จบโดยจะเริ่มในภาคเรียนที่จะเปิดใหม่นี้

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 4756เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2005 15:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 19:40 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
อ่านแล้วรู้สึกยินดีเหลือเกินคะที่ได้คนดีกลับคืนสู่สังคม  และรู้สึกภูมิใจแทนสำนักงานคุมประพฤติด้วยนะคะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท