"งานที่ออกมาจะดีได้ คนที่ลงมือทำต้องดีก่อน" "คุณภาพคนชี้วัดคุณภาพองค์กร" "Monozukuri is Hitozukuri" สวัสดีครับท่านอาจารย์บุษยมาศ
มุมมองของผมต่อเรื่องคน ผมมองในสายงานการพัฒนาคนครับ ต้องเรียนท่านอาจารย์ว่าบันทึกที่ท่านอาจารย์เขียนมันทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง ในสภาวะที่ผมกำลังจะหลุดออกจากความเป็น "มนุษย์เงินเดือน" ในไม่นานนี้ แต่ผมไม่เคยคิดว่าจะหยุดทำงานด้านนี้เลย ผมรู้สึกมีความสุข และรับรู้ได้ในสุนทรียของงานพัฒนาคน
อาชีพครูเป็นอาชีพที่ไม่ได้ "สร้างตัว" แต่เป็นอาชีพที่ "สร้างคน" สร้างคนให้มีความเป็นคนโดยเข้าใกล้ความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่พวกเขาทั้งหลายจะออกมาเป็นกำลังหลัก กำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ในภาคส่วนไหนก็ตาม ก็ถือว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
ผมเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ครับ หลายเรื่องราวในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในบ้านเรายังมีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการได้มาซึ่ง "บุคลากรที่มีคุณค่า" ตอบแทนให้กับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ระบบอุปถัมภ์ ค้ำชู" ถ้าอุปถัมภ์ ค้ำชูกันในเรื่องที่ดีงามก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
"เรามีหน้าที่อะไร มีความรับผิดชอบที่จะต้องทำอะไร มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมอะไรบ้าง?...จะไม่โทษคนอื่น นำเหตุและผลมาไตร่ตรองว่าเราผิดหรือเขาผิด ถ้าเราผิด เราจะยอมรับว่าเราผิดและหาทางแก้ไข...ถ้าเขาผิด เราก็ต้องชี้แจงเหตุผลและขอทราบเหตุผล..." ผมชอบประโยคนี้ของท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์เชื่อไหมครับสิ่งที่ผมพยายามชี้แจงเหตุผล กับเขามันกลับกลายเป็น "ข้อแก้ตัว" ของผมในความคิดของเขาไป และในขณะที่ผมขอทราบเหตุผลของเขา มันทำให้ผมกลับกลายเป็น "คนเรื่องมาก มากเรื่อง เป็นคนเจ้าปัญหา" กับองค์กรทันที เราก็เลยกลายเป็น "แกะดำ" ในฝูง "แกะขาว" ^_^
แต่ช่างเขาเถอะครับ ผมไม่เก็บเรื่องเหล่านี้มารกสมองแล้ว อโหสิกรรมให้หมดแล้วด้วยความจริงใจ มานั่งคิดทบทวนดูผมยังต้องขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นด้วยที่ทำให้ผมได้เห็น ได้รับรู้ใน "สัจธรรม" ท่านอาจารย์มีจรรยาในอาชีพอย่างสมบูรณ์จริงๆครับ ขอชื่นชมจากใจจริง การทำงานกับคน ทำให้เราเข้าใจคนได้ดียิ่งๆขึ้นจริงๆ
ขอบพระคุณสำหรับการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับผม
ขอบคุณค่ะ คุณธนากรณ์ ...
และขอขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจด้วยค่ะ
* ค่ะ ในเมื่อเราเรียน เราได้ศึกษา เรารู้ในเชิงทฤษฎี และสามารถแยกแยะออกว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เราก็ควรนำมาปฏิบัติ เพื่อให้เป็นตัวอย่างกับคนรุ่นหลัง ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ย่อมได้ แต่ไหนเลยจะทำให้กฎ กติกาสังคมเป็นที่น่าเชื่อถือได้...ยิ่งทำงานด้านบุคคล ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างกับคนในส่วนราชการ เพราะทุกคนกำลังเพ่งมองดูเราอยู่ หากตัวเราทำพลาดเพียงนิดเดียว มันเหมือนตราบาปที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิตของการทำงานเลยละค่ะ...ตัวผู้เขียนจึงต้องยอมทำ ทำเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนรุ่นน้อง ๆ เพราะไม่เช่นนั้น บ้านเมืองก็ไร้คุณภาพ ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ ยิ่งทำให้เสื่อมเสียไปกันใหญ่ แม้ว่าคนอื่นจะมองเราว่า "ตรง" เกินไป แต่เราก็ควรยึดระเบียบ กติกาของสังคม เพราะไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่บอก...และเราก็จะไม่มีเกาะกำบังเรา เมื่อเกิดอะไรขึ้น ตัวเราก็จะได้รับโทษโดยที่คนอื่น รวมทั้งผู้บริหารก็ไม่อาจที่จะช่วยตัวเราเองได้ค่ะ
* ตามที่อาจารย์บอก ผู้เขียนไม่คิดว่า เป็นเรื่องแปลกนะคะ คนที่แปลก คือ พวกตรงข้ามกับเรามากกว่า...กรณีที่เกิดกับท่าน ผู้เขียนก็เคยโดนเหมือนกัน แต่ไม่ใส่ใจ เพราะเราเติบโตมาด้วยเหตุผล การเรียนที่เราได้รับได้รู้จากอาจารย์ จากตำรา เป็นคนสอนเราให้เราทำดี มีเหตุผล ผู้เขียนจึงคิดว่าไม่ใช่ความผิดของเรา และก็ไม่แปลก ไม่ใช่นำความรู้สึกของแต่ละคนมาใช้ปฏิบัติ เพราะเราอยู่ในสังคม เราก็ต้องมีกฎ กติกาของสังคม เช่น การเล่นฟุตบอล หรือกีฬาประเภทต่าง ๆ เขาก็ยังมีกฎ กติยา มารยาท ในการเล่น เช่นเดียวกันกับการทำงานก็เหมือนกันค่ะ เพราะเราทำงานกับคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปไงค่ะ
* ยิ่งระบบอุปถัมภ์ ยังไม่หมดไปจากสังคมไทยง่าย ๆ หรอกค่ะ มันแฝงอยู่ในทุก ๆ ที่ ที่คนจะนำมาใช้ เพียงแต่ว่าจะใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางทิศใดที่จะไม่ให้โน้มน้าวจนน่าเกียจเกินไป เพราะสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ระบบสังคมเมืองไทยอยู่ได้และมีคุณภาพ นั่นคือ ระบบคุณธรรม ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับคนทุกคนในหมู่มาก
* ค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เราจะนำจรรยาบรรณ จริยธรรมที่เราเคยได้เรียนมานำมาใช้ด้วยหรือไม่ นั่นคือ "การอภัย" "การอโหสิกรรม" ให้กับคนที่ทำกับเราไงค่ะ ก็ไม่ทราบว่า ทุกคนที่ได้เล่าเรียนมาแล้วได้นำมาใช้กับชีวิตการทำงานหรือไม่ แต่ผู้เขียนก็มีจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับการทำงานภาครัฐในปัจจุบันให้ข้าราชการยึดในจรรยาบรรณของตนเอง ซึ่งผู้เขียนก็ยังถือว่า "ตัวเองก็เป็นหนึ่งคนในการทำงานของบุคคล ได้ยึดถือและปฏิบัติตามจรรยาบรรรณในวิชาชีพของตนเอง
* ขอเป็นกำลังใจให้กับอาจารย์ธนากรณ์ และคนทำงานที่ได้ปฏิบัติตามกฎ กติกาของสังคม และยึดถือระเบียบ จรรยาบรรรณวิชาชีพทุก ๆ ท่านค่ะ ประเทศไทยจะพัฒนาได้และมีคนทำงานที่มีคุณภาพได้ก็เพราะคนที่ปฏิบัติตามกฎ กติกาของสังคมนะคะ...เป็นกำลังใจให้ค่ะ...
ขอบคุณค่ะ คุณธนากรณ์ ...
และขอขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจด้วยค่ะ
(ครั้งแรก ตอบ โดยไม่ได้เข้าระบบค่ะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ)...
* ค่ะ ในเมื่อเราเรียน เราได้ศึกษา เรารู้ในเชิงทฤษฎี และสามารถแยกแยะออกว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เราก็ควรนำมาปฏิบัติ เพื่อให้เป็นตัวอย่างกับคนรุ่นหลัง ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ย่อมได้ แต่ไหนเลยจะทำให้กฎ กติกาสังคมเป็นที่น่าเชื่อถือได้...ยิ่งทำงานด้านบุคคล ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างกับคนในส่วนราชการ เพราะทุกคนกำลังเพ่งมองดูเราอยู่ หากตัวเราทำพลาดเพียงนิดเดียว มันเหมือนตราบาปที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิตของการทำงานเลยละค่ะ...ตัวผู้เขียนจึงต้องยอมทำ ทำเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนรุ่นน้อง ๆ เพราะไม่เช่นนั้น บ้านเมืองก็ไร้คุณภาพ ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ ยิ่งทำให้เสื่อมเสียไปกันใหญ่ แม้ว่าคนอื่นจะมองเราว่า "ตรง" เกินไป แต่เราก็ควรยึดระเบียบ กติกาของสังคม เพราะไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่บอก...และเราก็จะไม่มีเกาะกำบังเรา เมื่อเกิดอะไรขึ้น ตัวเราก็จะได้รับโทษโดยที่คนอื่น รวมทั้งผู้บริหารก็ไม่อาจที่จะช่วยตัวเราเองได้ค่ะ
* ตามที่อาจารย์บอก ผู้เขียนไม่คิดว่า เป็นเรื่องแปลกนะคะ คนที่แปลก คือ พวกตรงข้ามกับเรามากกว่า...กรณีที่เกิดกับท่าน ผู้เขียนก็เคยโดนเหมือนกัน แต่ไม่ใส่ใจ เพราะเราเติบโตมาด้วยเหตุผล การเรียนที่เราได้รับได้รู้จากอาจารย์ จากตำรา เป็นคนสอนเราให้เราทำดี มีเหตุผล ผู้เขียนจึงคิดว่าไม่ใช่ความผิดของเรา และก็ไม่แปลก ไม่ใช่นำความรู้สึกของแต่ละคนมาใช้ปฏิบัติ เพราะเราอยู่ในสังคม เราก็ต้องมีกฎ กติกาของสังคม เช่น การเล่นฟุตบอล หรือกีฬาประเภทต่าง ๆ เขาก็ยังมีกฎ กติยา มารยาท ในการเล่น เช่นเดียวกันกับการทำงานก็เหมือนกันค่ะ เพราะเราทำงานกับคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปไงค่ะ
* ยิ่งระบบอุปถัมภ์ ยังไม่หมดไปจากสังคมไทยง่าย ๆ หรอกค่ะ มันแฝงอยู่ในทุก ๆ ที่ ที่คนจะนำมาใช้ เพียงแต่ว่าจะใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางทิศใดที่จะไม่ให้โน้มน้าวจนน่าเกียจเกินไป เพราะสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ระบบสังคมเมืองไทยอยู่ได้และมีคุณภาพ นั่นคือ ระบบคุณธรรม ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับคนทุกคนในหมู่มาก
* ค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เราจะนำจรรยาบรรณ จริยธรรมที่เราเคยได้เรียนมานำมาใช้ด้วยหรือไม่ นั่นคือ "การอภัย" "การอโหสิกรรม" ให้กับคนที่ทำกับเราไงค่ะ ก็ไม่ทราบว่า ทุกคนที่ได้เล่าเรียนมาแล้วได้นำมาใช้กับชีวิตการทำงานหรือไม่ แต่ผู้เขียนก็มีจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับการทำงานภาครัฐในปัจจุบันให้ข้าราชการยึดในจรรยาบรรณของตนเอง ซึ่งผู้เขียนก็ยังถือว่า "ตัวเองก็เป็นหนึ่งคนในการทำงานของบุคคล ได้ยึดถือและปฏิบัติตามจรรยาบรรรณในวิชาชีพของตนเอง
* ขอเป็นกำลังใจให้กับอาจารย์ธนากรณ์ และคนทำงานที่ได้ปฏิบัติตามกฎ กติกาของสังคม และยึดถือระเบียบ จรรยาบรรรณวิชาชีพทุก ๆ ท่านค่ะ ประเทศไทยจะพัฒนาได้และมีคนทำงานที่มีคุณภาพได้ก็เพราะคนที่ปฏิบัติตามกฎ กติกาของสังคมนะคะ...เป็นกำลังใจให้ค่ะ...