ใครลิขิตชีวิตข้า บุญช่วย มีจิต
ปกติแล้วผมไม่เคยเชื่อเรื่องดวง หรือ โชคชะตา เท่าไหร่นัก
แต่พอย้อนคิดถึงชีวิตตัวเองแล้ว บางครั้งมันอธิบายไม่ได้ว่า
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ชีวิตมักจะผกผันอยู่เรื่อย ๆ นึกว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่กลับเป็นอย่างนี้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นตอนเป็นเด็กนี้ ก็มีเรื่องหักเหของชีวิตอยู่ตลอดเวลา !!
เมื่อกลับมาถึงบ้าน( นากระเดา) แล้ว ก็เริ่มคบค้ากับเพื่อนรุ่นเดียวกัน และเที่ยวกลางคืน ไปเที่ยวสาวลงข่วง[1] เพราะเริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้ว รู้จักชอบผู้หญิง แต่เพราะความขี้อาย จึงไม่กล้าจีบเหมือนเพื่อน ๆ ได้แค่มองอย่างเดียว เที่ยวบ้านตัวเองไม่พอ ยังออกไปเที่ยวบ้านนอกที่อยู่ข้างเคียงเช่น วังโกน ( วังเวียงในปัจจุบัน ) นาคู และ
นากุดสิม เป็นต้น
บางครั้งถูกเพื่อนทิ้งไห้เดินทางกลับคนเดียวกลางดึกก็มี ถึงจะกลัว ( ผี ) แสนกลัว ก็ต้องกัดฟันเดินมา !!
รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์
“ ชีวิตเหมือนนิยาย ” ไม่รู้ใครนิยามคำพูดนี้
มันช่างตรงกับชีวิตของผมเสียเหลือเกิน กว่าจะมีชีวิตจะโลดแล่นมาจนถึงทุกวันนี้ ได้ผ่านเหตุการณ์
( ที่ไม่ดี ) มาค่อนข้างโชกโชน
รอดตายมาอย่างปาฏิหาริย์ก็หลายหน
หนังสือเล่มนี้ เป็นเกร็ดประวัติของตัวเอง จึงไม่มีการเติมสี และแต่งแต้มแต่ประการใด เป็นเรื่องจริง ของจริงทั้งนั้น และไม่อายเลยที่จะเปลือยอกพูดให้ฟัง
ใครจะคิด จะเชื่อ ไม่เชื่ออย่างไร ก็แล้ววิจารณญาณของแต่ละคนเถิด โปรดตามมา
ครั้งแรก ก็คือตอนป่วยขี้โรคเรื้อรังตอนเกิดใหม่ ๆ ถึงกับต้องเปลี่ยนชื่อใหม่นั่นแหละ[2] แต่ครั้งนั้น ยังจำความไม่ได้ เอาตั้งแต่จำความได้ก็แล้วกัน ที่ระทึกใจและจำไปจนวันตายก็มีดังนี้
พ่อจะพากระโดดน้ำตาย !!
จะเป็นการจงใจ หรือ ไม่จงใจก็ตามที ในหน้าน้ำออกแก่ง ( น้ำหลาก ) น้ำป่าไหลบ่าเต็มลำห้วยมะโน
พ่อพาเดินจากนาโคก ( หนองกุง ) จะพาไปนาบ้าน ( หนองแซง )
ไปทำไม ?
ก็ป่วงบ้านะซี !!
ขณะนั้นผมยังเล็กมาก แต่ก็จำได้แม่นยำว่า พ่อให้ขี่คอ ( เป็นประจำ ) เดินไปถึงหัวหนองสวนยา ก็พาว่ายน้ำข้ามห้วยมะโน ขณะที่น้ำไหลเชี่ยวกราก !!
จะเพราะน้ำเชี่ยวมาก !!
จะ เพราะว่ายน้ำไม่แข็ง !!
หรือ จะเพราะจงใจ !!
หรือ จะเพราะทั้งสามอย่างรวมกัน
พอถึงกลางแม่น้ำ พ่อกอดเราแน่น และพาดำลงไปใต้น้ำ เป็นเวลานาน ทำให้เราดิ้น เพราะหายใจไม่ออก พ่อจึงพาพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำและตะกายข้ามห้วยไปได้ ท่านบอกว่าผ้าขาวม้าพันขา เลยมุดลงไปแก้
แต่ผมสันนิษฐาน (ในตอนหลัง ) ว่า ท่านจงใจจะฆ่าตัว( ให้ ) ตายไปพร้อมกัน แต่เพราะแรงดิ้น แรงถีบของผม ท่านก็เลยต้านไม่ไหว (เหตุการณ์นี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟังครั้งนี้เป็นครั้งแรก )
ที่ผมเชื่อ เพราะวันนั้น ท่านออกอาการบ้ามาก เครียด พูดพล่ามทั้งวัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพาข้ามน้ำไปเลย!!
เผาตัวเอง
มีเรื่องร้ายแรงที่เกือบตายอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เกิดเพราะความซนของตัวเองแท้ ๆ !!
นั่นคือใกล้งานเผาศพอาจารย์พิษ[3] มีการเตรียมงานเป็นเดือน ๆ มีการทำบั้งไฟด้วย เราก็เคยรู้เรื่องบั้งไฟอยู่บ้างนิดหน่อย ( ตอนที่หายป่วยพักพื้นอยู่ที่วัดเซกา ปีนั้นก่อนออกพรรษาก็มีการเตรียมพลุ บั้งไฟดอก และตะไลเล็ก ๆ ท่านอาจารย์อวนเป็นช่างบั้งไฟ เราก็เลยได้รู้จักวิธีทำดินปืน รู้จักสูตรผสมระหว่างถ่านกับดินประสิว อยากให้แรง อ่อนอย่างไร ใช้ไม้อะไรเผาถ่าน )
เมื่อเขาเตรียมงานอาจารย์พิษ ก็อยากแสดงให้เห็นว่า เราก็มีความรู้เรื่องบั้งไฟเหมือนกัน บังเอิญวันหนึ่ง พบห่อกระดาษเล็ก ๆ ห่อหนึ่ง เหน็บอยู่เหนือขื่อ ปีนขึ้นไปเอามาดู
เอ๊ ! นี่มันมาดและขี้เกียนี่ ( ดินประสิวและกำมะถัน ) เป็นของอาว์เพ็ง ( ซ่อน ) เอาไว้สำหรับทำหมื้อ
( ดินปืน ) ใช้กับปืนแก๊ปของท่าน
ด้วยความซน ความไม่ประสีประสา จึงขโมยไปครึ่งหนึ่ง จัดแจงเผาไม้ลำปอให้เป็นถ่าน และไปแอบคั่วที่เถียงนา
ปกติที่เถียงนาหน้าแล้งจะเก็บฟางไว้เต็ม แต่มีช่องว่างนิดหนึ่งตรงเตาไฟที่ทำครัว ก็จัดการต้มขี้เกียและผสมถ่าน มาด ตามสูตร 1: 3 ที่ได้รู้มา พอคั่วแห้งแล้ว ด้วยความขาดประสบการณ์ ไม่ลดไฟออก ปรากฏว่าเกิด
ระเบิดขึ้นอย่างแรง !!
การคั่วก็ใช้หม้อดิน ตะแคงปากมาทางคนคั่ว เมื่อมันระเบิดก็พุ่งออกมาเต็มหน้า เต็มตัว เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ได้ยินไปถึงโยมพ่อ ที่กำลังขุดสระอยู่ที่กลางนา ท่านรีบวิ่งมา แล้วก็อุ้มไปโยนลงบ่อน้ำเย็น ๆ ในสระ
( เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ) แทนที่มันจะเย็น กลับปวดแสบปวดร้อนทรมานมาก
เดชะบุญมันไม่ไหม้ฟางซึ่งมีอยู่เต็มเถียงนา ไม่งั้นป่านนี้ก็คงไม่ได้มานั่งเขียนอยู่อย่างนี้ และก็ได้ว่านหางจระเข้มาทา[4] ทำให้หายปวดแสบ ปวดร้อน แต่ตายังปิดสนิททั้งสองข้าง และใบหน้าบวมเป่ง เป็นหนอง น้ำเหลืองไหลเยิ้ม ถูกเขม่าดินปืนเป็นสีดำ ผมบนศีรษะถูกไฟไหม้หายไปทั้งหัว เกือบสิบวันจึงสามารถลืมตาได้ และค่อย ๆ ตกสะเก็ดลอกออกทั้งใบหน้า และเดชะบุญอีกนะแหละที่ใบหน้าไม่ดำถาวร ตอนมันตกสะเก็ดก็ใช้ผ้าคลุมหัว ไปที่ไหน ๆ ใครเห็นก็วิ่งหนี เขานึกว่าผีหลอกนะซี เป็นอุทาหรณ์ว่า
การซุกซนของเด็ก ๆ นั้นอาจจะนำมาซึ่งความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่ไม่คาดคิดได้ !!
รอดเพียงเส้นยาแดงผ่าร้อย
อีกครั้งที่มฤตยูถามหา แต่ยมบาลยังไม่ต้องการ เพราะมันยังใช้เวร ใช้กรรมไม่หมด
ก็คือการเดินทางจากอำเภอสว่างแดนดิน[5] มาอำเภอวานรนิวาส ผ่านเส้นทางบ้านนาดูร โพนไค
สมัยนั้นทางกันดารมาก เป็นทางเกวียน มีแต่ทราย หน้าแล้งจะมีรถบรรทุกไม้ดงสีชมพู ( ดงศรีสงคราม ) บรรทุก ( กระสอบ ) ข้าว
เช่นเคย ผมกับพ่อ ( ก็ช่วงที่พ่อพาเร่ร่อนตะเวนเยี่ยมญาตินั่นแหละ ) ขออาศัย ( จ้าง ) รถบรรทุกข้าว[6] โดยนั่งบนกระสอบข้าวเต็มรถซึ่งสูงมาก ( ถึงจะอันตรายก็ยังดีกว่าเดินเท้าเป็นไหน ๆ เพราะทางกันดารมาก กว่าจะพบหมู่บ้านแต่ละทีใช้เวลาครึ่งค่อนวัน )
พอมาถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง หน้าแล้งน้ำแห้งหมด มีแต่ทรายทั้งนั้น รถพยายามขึ้นฝั่งอย่างทุลัก ทุเล
( ปกติ ถ้าถึงที่คับขัน จะให้คนโดยสารลงมาก่อน แต่คราวนั้นคนขับอาจจะประมาทไปหน่อย และนัยว่าจะรีบไป เพราะจวนจะค่ำมืดแล้ว ) เกือบจะพ้นอยู่แล้ว
อาจเพราะรถหนักมากเกินไป !!
อาจเพราะรถเก่ามากไม่มีกำลัง !!
อาจเพราะทรายมาก !!
และอาจเพราะลำห้วยสูงชันมาก !!
หรือ อาจจะเพราะทุกอย่างรวมกัน !!
รถเกิดเครื่องยนต์ดับ และไหลถอยหลังลงมาอย่างรวดเร็ว เดชะบุญเป็นทางโค้งและมีหินก้อนหนึ่งขวางอยู่ ล้อหลังของรถจึงมาติดอยู่กับก้อนหินก้อนนั้น ห่างจากลำห้วยเพียงฟุตกว่า ๆ เท่านั้นเอง !!
ถ้ามันตกลงไปในห้วย ทั้งรถ ทั้งคน รับรองไม่เหลือซาก ต่างคนต่างก็ตะกายลงมายืนขาสั่นดูเหตุการณ์ข้างล่าง กว่าจะฉุดขึ้นได้ ก็ต้องรอรถอีกคันนำโซ่มาวิน ( กว้าน ) ขึ้นในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น !!
ท่านที่อ่านประวัติของผมนี้ ต้องพยายามทำใจหน่อยนะครับ และให้อ่านอย่างต่อเนื่องจนจบ
ไม่งั้นจะไม่รู้เรื่อง เพราะผมเล่า ( เขียน ) วกไป วนมา ไม่ได้ลำดับเหตุการณ์เหมือนพงศาวดาร เนื่องจากว่า เขียนต่างกรรม ต่างวาระกัน มีการต่อนั่นนิด เติมนี่หน่อย
ที่สำคัญ เล่าจากความหลังทั้งสิ้น เหตุการณ์ผ่านมานับสิบ ๆ ปีแล้ว
ปู้โธ่ !! ใครจะคาดคิดละครับว่า จะได้มาเขียนประวัติ ( อันไม่ดี ) ของตัวเองให้คน ( อื่น ) อ่าน
ถ้ารู้ตัวคงต้องบันทึกลงไออารี่ ( พูดยังกะสมัยนั้นมีไดอารี่ ) ระบุวัน เวลา ที่แน่นอนไปแล้ว
เอาละตามมา ยังไม่ไปถึงไหนเลย !!
[1] ข่วง คือ ร้านเล็ก ๆ ยกพื้นสูงประมาณสะเอว กว้าง ยาวประมาณ สาม สี่เมตร มีกองไฟ สำหรับก่อให้แสงสว่าง มีเด็กสาว ๆ ไปเข็นฝ้าย จะมีหนุ่ม ๆ เดินไปคุยหยอกล้อแบบกันเอง ถ้าชอบใจก็จับคู่เป็นแฟนและแต่งงานกัน
[2] ดูบุญช่วย
[3] อาจารย์พิษเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านนากระเดาที่ชาวบ้านเลื่อมใสมาก มรณภาพตั้งแต่อายุยังน้อย ชาวบ้านจึงจัดงานให้อย่างยิ่งใหญ่ เผาที่วัดเหนือญาคูเมฆ
[4] มีเพียงยาชนิดเดียวนี้เท่านั้นที่ใช้รักษาอาการไฟไหม้รุนแรงในครั้งนี้
[5] เคยไปอาศัยอยู่กับลุงสาดญาติที่ไปจากบ้านน้ำปุ้นที่บ้านหัวทุ่ง ดูเรื่องผีเป้าผีโพง
[6] เขารับโดยสารด้วย เสียเงินค่าโดยสารตามระยะทาง มีเพียงรถชนิดนี้เท่านั้นที่วิ่งผ่านบริเวณนี้
หลายคน.. มีเรื่องที่ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง ณ ตอนนั้น
แต่พอผ่านพ้นไป.. เวลาเนิ้นนานเข้า
สามารถเล่าได้.. เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับผู้อื่นได้
ขอบคุณค่ะ