บั้งลำ บุญช่วย มีจิต
ชีวิตของเด็กในชนบทในสมัยนั้น วัน ๆ แทบไม่ได้ทำอะไร นอกจากเล่นกับเล่น ตั้งแต่เล่นเม็ดมะขาม คือ เอาเม็ดมะขามสุกที่ปลอกเอาเนื้อออกแล้ว มีแต่เม็ดดำ ๆ นั่นแหละ เอามาเล่นการพนันกัน คือ เอามาโยนลงหลุม แล้วเม็ดใดกระจายออกจากหลุมไปไกลแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะชี้ว่าจะให้ตีเม็ดใด ( ตีก็คือโยนเม็ดมะขามให้โดนเม็ดที่เพื่อนชี้บอกให้ตีนั่นเอง พิสูจน์ความแม่นของการโยน ) ถ้าตีถูกก็ได้หมดทั้งกอง ถ้าตีไม่ถูกก็ได้เฉพาะที่ลงหลุม เสร็จแล้วก็เล่นตาใหม่ โดยลงกันเป็นตา ๆ เช่นตาละ 5 เม็ด 10 เม็ด แล้วแต่จะตกลงกัน นอกจากเอามาเล่น( พนัน ) กันแล้ว เม็ดมะขามเหล่านี้ ยังนำมาคั่ว หมกขี้เถ้า เผาไฟให้สุกแล้ว นำมาเคี้ยวเสียงดังก๊อบแก๊บ ๆ กินเล่นเป็นอาหารว่างอันโอชะยอดฮิตอีกด้วย แต่มันแข็งมาก ๆ จนบางครั้งถึงกับฟันหักไปก็มี พกกันกระเป๋าตุงทุกคน
ของเล่นอีกอย่างหนึ่งที่ชอบกันมาก คือ หนังยาง ตอนนั้นหนังยางพลาสติก เป็นของใหม่ เพิ่งมีและค่อนข้างแพง จำไม่ได้ว่าเส้นละสตางค์ หรือ สลึงละเท่าใด แต่พวกเราไม่ได้ซื้อหรอก ไปเที่ยวหา ( เก็บ ) หมากงิ้ว ( นุ่น ) แก่ ๆ ที่มันร่วงหล่นอยู่ทั่วไป เอาไปแลกหนังยาง สองฝักต่อเส้นอะไรประมาณนี้แหละ แต่มันหายากมาก เพราะของใคร ๆ ก็เก็บ จึงมีบางคนแอบ( ขโมย ) ด้วยการหาท่อนไม้เล็ก ๆ ที่เหมาะมือ ปาไปที่พวงลูกงิ้วให้มันร่วงลงมา แต่วิธีนี้ต้องระวัง บางบ้านเจ้าของดุ โดนไล่ตะเพิดมาด่าถึงบ้านเชียวแหละ
การเล่นหนังยางก็มีหลายวิธี เช่น เป่ากบ โยนหลุม ยิงแม่น เป็นต้น ใครมีหนังยางเยอะสรวมข้อมือเต็มแขน ถือว่าเท่มาก ๆ เป็นที่อิจฉาของเพื่อน ๆ และสาว ๆ ใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับข้อมือแทนสร้อยมืออีกด้วย
แค่นี้พวกเราก็เล่นกันลืมวัน ลืมคืนแล้ว บางครั้งเล่นจนมืดจนค่ำ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องมาตามให้ไปกินข้าว
การเล่นเหล่านี้เป็นวิถีชีวิตของบ้านนอกแท้ ๆ บางครั้ง ผู้ใหญ่ ( วัยรุ่น ) ก็เล่นกัน ไม่เฉพาะแต่เด็ก ๆ อย่างพวกเราเท่านั้น การพักผ่อนหย่อนใจอย่างอื่นแทบไม่มีเลย
นาน ๆ จะมีไทยแขก ( คนต่างถิ่น ) เข้ามาที่หมู่บ้าน สะพายบั้งลำ[1] หรือ หีบเสียง (รุ่นแรก ๆ ) บางครั้งก็เรียกดอกมะเขือบ้า หรือ ลำโพง ก็มี เอามาให้คนจ้างเปิดฟัง กลอนละสลึง มีอยู่ไม่กี่กลอนที่ฮิต ๆ เป็นลำล่องโขงขึ้นต้นว่า
แผ่นเสียงกา ( ตรา ) กระต่าย ลำยาวล่องโขง ลงท้ายด้วยคำว่า ไหลไปตกไซง่อน ไหลเลี้ยวสู่ทะเล ๆ เป็นเสียงของผู้หญิงจำชื่อไม่ได้
อีกกลอนหนึ่งเป็นเสียงผู้ชายน่าจะเป็นเรื่องลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่แปด เพราะมีคำว่า สงสารหน่ออนันต์ หน่ออนันต์ ซ้ำ ๆ กันตอนท้าย
การเปิดบั้งลำนี้จะเปิดให้เฉพาะบ้านที่มีคนจ้างเท่านั้น ซึ่งหายากมาก ทั้งหมู่บ้านมีคนจ้างอยู่ไม่กี่บ้าน และจะหวงไม่ให้คนอื่นได้ฟังด้วย พวกเราเด็ก ๆ พอเห็นคนสะพายหีบเสียงเดินมา ก็จะเดินตามไปเป็นพรวนเพื่อฟังลำ ( ฟรี )
บั้งลำรุ่นแรก ๆ ใช้วิธีหมุนลานครับ ใช้หัวเข็มเหล็ก เป็นแผ่นขี้ครั่งหน้าละเพลง ( เดียว ) [2] บางครั้งพอลานอ่อนเสียงก็จะเพี้ยนไปเป็นเสียงใหญ่ ๆ ช้า ๆ ต้องคอยหมุนลานอยู่เรื่อย บางครั้งเข็มทู่ เสียงก็จะไม่ชัด ต้องเปลี่ยนเข็มอยู่บ่อย ๆ ได้เข็มละหน้าอะไรนี่แหละ
จึงมีบ่อยครั้งที่เครื่องชำรุด เป็นต้นว่าลานมันหย่อน เข็มเก่าไม่มีเปลี่ยน แผ่นชำรุด จึงมีเสียงซู่ ๆ มากกว่าเสียงลำ บางครั้งก็ฟังไม่ได้เลย
เวลา ( เจ้าของ) เขาเปิดหีบเพื่อซ่อมลานหรืออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาจะ ( หลอก ) บอกว่า นี่คือตับ ไต ไส้ พุง ปอด ม้าม ของคนร้อง
พวกเราก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า คนร้องอยู่ใน
บั้งลำนั้นจริง ๆ !!
ไม่มีความเห็น