ฤาคนเขลาจะครองโลก


คอลัมน์นี้เขียนลงใน Happening เมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีผู้อ่านเขียนเข้ามาแสดงความเห็นเพิ่มเติม เลยอยากจะเอามาเล่าสู่กันฝังอีกครั้งครับ ...

-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

หนึ่งในปัจจัยที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันเกี่ยวกับการอธิบายปรากฎการณ์ความแตกแยกในสังคมบ้านเราคือเรื่องของชนชั้น ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่มีการศึกษาต่ำ ไม่ค่อยฉลาด อีกฝ่ายเป็นคนกลุ่มน้อย มีการศึกษา และเข้าถึงทรัพยากรมากกว่า

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอสมควร แต่อยากให้ลองคิดต่อเสียหน่อยว่า “การศึกษา” นั้นส่งผลอะไรกับพลเมืองในประเทศบ้าง หนังเรื่องหนึ่งที่อธิบายประเด็นนี้ได้ถูกใจผมมาก คือเรื่อง ideocrazy (2006) ที่เขียนบทและกำกับโดยไมค์ จัดด์ ผู้สร้าง Beavis and Butt-Head การ์ตูนชื่อดังทาง MTV ในยุค ’90

ลูค วิลสัน พระเอกของเราถูกเลือกเข้าร่วมโครงการแช่แข็งมนุษย์ ที่ควรจะมีระยะเวลาแค่ปีเดียว แต่โครงการกลับถูกยกเลิก ปล่อยทิ้งให้พระเอกของเรานอนหลับยาวไปตื่นอีกที่ในโลกอนาคต ... ที่เต็มไปด้วยคนโง่

หนังใช้เวลาไม่กี่นาทีแรก อธิบายว่าทำไมโลกอนาคตถึงได้กลายเป็นยุคคนโง่ โดยอ้างถึงทฤษฏีการคัดเลือกทางธรรมชาติ (natural selection) ที่อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใดยิ่งขยายพันธุ์ได้เร็ว ได้มาก ก็ยิ่งได้เปรียบ จากนั้นก็เอาคนสองประเภทมาเปรียบเทียบ ประเภทแรกคือคู่รักไอคิวสูงคู่หนึ่งที่มัวแต่ละล้าละลังรอความ “พร้อม” ก่อนจะมีลูก ยิ่งรอ สภาพร่างกายก็ยิ่งเสื่อมถอยไป ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นอีกครอบครัวที่ไอคิวต่ำ และการศึกษาต่ำ พลาดพลั้งมีลูกกันเร็ว เป็นชนชั้นแรงงานที่ไม่มีเวลาเลี้ยงครอบครัว ลูกได้รับการศึกษาน้อยก็หนีไม่พ้นวัฏจักรโง่ จน เจ็บ เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นวัย ขาดความยับยั้งช่างใจ ก็แตกเหล่าแตกกอกันมากมายไปหมด

หลายคนอาจจะคิดว่าหนังเรื่องนี้ยกกรณีเปรียบเทียบที่ออกจะสุดโต่ง เพราะคนที่เรียนสูง ไอคิวสูงก็มีลูกกันถมไป แต่ก่อนที่จะสรุป เราลองมาเปรียบเทียบสองประเทศที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับหนัง ideocrazy ดีไหมครับ?

หนึ่งในประเทศที่ประสบปัญหาคล้ายครอบครัวไอคิวสูงอย่างในหนังคือประเทศเยอรมนี ความที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมไฮเทค ระดับการศึกษาของคนในประเทศสูงลิ่ว ครอบครัวชาวเยอรมัน มักชะลอการมีลูก ด้วยเหตุผลหลักคือบ้างานจนไม่คิดว่าจะมีเวลาเลี้ยงดูลูก โดยเฉพาะฝ่ายหญิงก็ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างต้องมาเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว อัตราการเกิดของเด็กเยอรมันยุคใหม่นั้นตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย สองปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้คือการขาดแคลนแรงงานทักษะสูง และปัญหาคนแก่ล้นประเทศ รัฐบาลของเขาก็ไม่นิ่งนอนใจ เปลี่ยนกฎหมายการลาคลอดและเลี้ยงดูซึ่งแต่เดิมนั้นเน้นให้ผลประโยชน์แค่ฝ่ายมารดา กฎหมายใหม่นอกจากจะขยายระยะเวลาการลาแบบจ่ายเต็มหนึ่งปี และจ่ายเป็นสัดส่วนร้อยละหกสิบเจ็ดของเงินเดือนไปจนถึงปีที่สาม ยังอนุญาติให้คู่สมรสแบ่งปันผลประโยชน์ได้อีกด้วย นั่นหมายความว่าพ่อแม่สามารถสลับเวรกันลาเพื่อเลี้ยงดูลูกได้ ผลก็คือในปัจจุบันเราจะเห็นพ่อลูกอ่อนเดินกันในสวนหย่อม ศูนย์การค้า ปล่อยให้แม่ไปทำงาน หลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เริ่มมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายการลาคลอดและเลี้ยงดูลูก จากที่เคยให้แต่ฝ่ายหญิง มาให้กับฝ่ายชายด้วยเช่นกัน

กลับมาดูทางฝั่งประเทศที่ประชากรมีระดับการศึกษาต่ำ และยากจนที่สุดในโลกบ้าง จำเหตุการณ์แผ่นดินไหวใน เฮติ เมื่อปีก่อนได้ไหม ใครจะคิดบ้างว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งกับอัตราการเกิดของประชากร แต่หนึ่งปีให้หลังจากภัยธรรมชาติ อัตราการเกิดของชุมชนสลัมในเฮติเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าตัว เพราะอัตราการจ้างงานที่หดหายบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องออกขายบริการทางเพศ ซ้ำเติมด้วยการข่มขืนหญิงเร่ร่อน พลัดถิ่น เพื่อนเฮติของผมคนหนึ่งที่กำลังเรียนปริญญาดุษฏีบัณฑิตอยู่นั้นกล่าวตัดพ้อว่า สิ่งแรกที่นานาประเทศควรส่งไปยังประเทศของเธอหลังแผ่นดินไหวคือถุงยางอนามัย!

 

โลกอนาคตที่มนุษยชาติจินตนาการไว้ คือโลกที่สวยงาม เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่จะเป็นไปได้ไหมครับ ที่ทฤษฏีของไมค์ จัดด์จะเที่ยงตรงกว่า?

ถึงตรงนี้ คนที่คิดว่าตัวเองเรียนสูง มีการศึกษา อาจจะอยากมีลูกเพิ่มอีกสักสองสามคน เผื่อจะได้ไปเป็นพลังต่อรองในสังคมกับกลุ่มคนชั้นล่างที่ลูกดกอยู่แล้ว แต่ลองมาคิดอีกที ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่เดินทางมาถึงจุดที่ประชากรเอาแต่ตั้งท่าเตรียมความพร้อมก่อนมีลูก จนกลายเป็นปัญหาสังคมขึ้นมานั้น มันไม่ได้ใช้เวลาเพียงข้ามคืน แต่จากการพัฒนาคุณภาพประชากรอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ให้โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกับ และที่สำคัญที่สุดการให้ความสำคัญกับคุณภาพของการศึกษา ทั้งในครอบครัวและโรงเรียน

 

ลองกลับมาดูบ้านเรา ที่กลุ่มผู้นำทางการเมืองมุ่งเน้นแต่นโยบายประชานิยม ลดแลกแจกแถม โดยไม่คำนึงถึงการพัฒนาคุณภาพของพลเมือง ป่าวประกาศว่าจะให้เรียนฟรี แต่ไม่มีพรรคไหนเสนอนโยบายพัฒนาบุคลากรครู หรือให้การสนับสนุนการพัฒนาเด็กอย่างชัดเจน เรื่องจะหวังให้ประเทศเจริญก้าวหน้าจนต้องมีนโยบายลาคลอด ลาเลี้ยงลูก เหมือนอย่างในยุโรปนั้น คงไม่ต้องหวังกันหรอก

 

ห่วงก็แต่ว่า เลือกตั้งรอบหน้า พรรคต่างๆ อาจจะต้องโฆษณาแจกถุงยางอนามัย ทำแท้ง ทำคลอดฟรีเท่านั้นล่ะครับ!

-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

หมายเลขบันทึก: 473077เขียนเมื่อ 31 ธันวาคม 2011 00:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน 2012 23:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท