มาต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ยกระดับความสัมพันธ์โดยการตั้งกลไกขึ้นมาเรียกว่าคณะกรรมาธิการร่วม Joint Commission (JC) ก็คือมีคนจากทั้งสองประเทศมาร่วมประชุมกันเพื่อกระตุ้นและเร่งรัดกิจกรรมต่างๆ ระหว่างกัน
ในส่วนของไทยกับอินเดีย ก็เช่นกัน มีการประชุมคณะกรรมาธิการ่วมเพื่อความร่วมมือไทย-อินเดียเป็นครั้งที่ 6 แล้วระหว่างวันที่ 25-28 ธันวาคม 2554 ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ทางฝ่ายไทยนำโดยดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและฝ่ายอินเดียได้แก่นายเอส เอม กฤษณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ส่วนในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสก็มีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศของไทยและนายซันเจ ซิงห์ปลัดกระทรวงภูมิภาคตะวันออกของอินเดียเป็นหัวหน้า
รูปแบบการประชุม JC ก็คือคณะผู้แทนคณะกรรมาธิการ่วมของทั้งสองประเทศซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นด้านความมั่นคงก็จากกระทรวงกลาโหม ด้านเศรษฐกิจการค้าก็จากกระทรวงพาณิชย์ ด้านวัฒนธรรมก็จากกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น กล่าวได้ว่าด้านใดที่เป็นที่สนใจและมีผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศก็จะมี จนท.จากหน่วยงานนั้นมาร่วมประชุมกัน สิ่งที่ดีของการประชุมแบบนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศได้มาพบกัน ได้เห็นหน้าเห็นตากัน ทำความรู้จักกัน สร้างเครือข่ายการติดต่อระหว่างกันทำให้สามารถเรียนรู้ปัญหาอุปสรรคและหาทางแก้ไขกันได้ง่าย เจ้าหน้าที่อาวุโสจะพิจารณาร่วมกันทั้งสองฝ่ายในทุกประเด็นจากนั้นก็สรุปนำเสนอให้ระดับรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างสอดคล้องกัน เห็นชอบร่วมกันแล้วก็จะมีการลงนามกันในบันทึกการหารือเป็นอันเสร็จพิธี
เป็นการประชุมที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ เปรียบเป็นระหว่างบุคคลก็คือการที่เพื่อนสองคนที่เป็นกัลยาณมิตรมาพบปะกัน สนทนาพาทีด้วยบรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัย มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มาปรับทุกข์กัน ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป...ผลก็คือมิตรภาพระหว่างกันยืดออกไปอีกยาวนาน
การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อินเดียครั้งที่ 6 นี้มีความพิเศษก็คือเป็นการประชุมก่อนการเยือนของนายกรัฐมนตรีของไทยในเดือนมกราคม 2555 ซึ่งได้รับเกียรติจากอินเดียเชิญมาเป็นแขกเกียรติยศในวันสถาปนาสาธารณรัฐของอินเดียวันที่ 26 มกราคม 2555 จึงถือเป็นการประชุมเตรียมการสำหรับการเยือนดังกล่าวด้วย
ผลการประชุมคณะกรรมาธิการโดยสรุปก็คือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในหลายๆ ด้าน ได้แก่ความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหม ด้านการค้า วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการผลักดันให้มีการตั้งกลไกในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์เช่น CEO Forum สำหรับนักธุรกิจ Thai-India Foundation สำหรับด้านวัฒนธรรมและวิชาการและคณะทำงานในด้านอื่นๆ ที่มีศักยภาพจะพัฒนาได้ รายละเอียดดูได้จากเว็บกระทรวงการต่างประเทศ www.mfa.go.th
การทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือตัดทอนมิตรภาพนั้นทำได้ง่ายและในพริบตาหากขาดสติ ซึ่งในระดับประเทศจะเกิดผลเสียที่กระทบต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่การเสริมสร้างส่งเสริมสัมพันธ์ภาพและมิตรภาพนั้นใช้เวลานาน กว่าจะสร้างได้ และเมื่อสร้างได้แล้วจะส่งผลดีนานัปการเป็นวงกว้างต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ จึงสมควรต้องได้รับการรักษาสิ่งที่มีอยู่แล้วเช่นความไว้เนื้อเชื่อใจและมิตรภาพ ให้มั่นคงเข้มแข็งเพื่อที่สังคมโลกจะได้มีแต่ความร่วมมือสามัคคีสมานฉันท์และนำไปสู่สันติภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนทุกชาติปรารถนา
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าการประชุมคณะกรรมาธิการไทย-อินเดียครั้งที่ 6 ที่ผ่านมา สำเร็จลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อยในบรรยากาศที่เป็นกันเองและฉันมิตรของผู้แทนของทั้งสองประเทศที่ร่วมประชุมและไทยได้รับความสนใจและความสำคัญจากอินเดียอย่างน่าพอใจยิ่งและน่าจะโอกาสที่ดีที่ทั้งสองประเทศจะยกระดับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งๆ ขึ้นไปอีกในปี 2555 ที่จะมาถึง
ดีจังเลยครัที่ได้เห็นการทำงานความสัมพันธ์กับอินเดีย อยากเห็นของประเทศอื่นด้วยจังเลยครับ...
ขอบคุณครับสำหรับดอกไม้กำลังใจและสำหรับเส้นทางบุญเส้นใหม่
Poo,
กัลยาณมิตรใช้ได้กับสังคมระหว่างประเทศครับ ขอเพียงยึดถือทางสายกลาง
และ ขจิต ฝอยทอง .
ขอบคุณ อจ.ขจิตครับ แต่ละประเทศนโยบายต่างกันครับ จึงต้องใช้ยุทธศาสตร์การทูตที่แตกต่างกันไป และนั่นคือความสำคัญของงานการทูตครับคือป้องกันภัยล่วงหน้าระหว่างประเทศ
มาส่งความสุขด้วยปฏิทินชุด "รอยยิ้มของพ่อ" ค่ะ