การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
1.
สังคมประเทศในโลกนี้ก็คือประเทศกว่า 200 ประเทศ ที่มีความหลากหลายเพราะมีทั้งความเหมือนกัน และความแตกต่างกัน เช่นมีประวัติศาสตร์ที่เหมือนกัน วัฒนธรรมร่วมกันแต่มีความแตกต่างในอุดมการณ์และรูปแบบการปกครอง เป็นสังคมโลกที่เรียกกันว่า พหุมิติ เป็นสังคมโลกที่เหมือนสังคมของกลุ่มคน 200 คน
คน 200 คนอยู่ด้วยกันก็ต้องมีความสัมพันธ์ มีเรื่องราวที่จะต้องติดต่อกันเพื่อผลประโยชน์ของแต่ละคน อันผลประโยชน์นี้จะเป็นผลประโยชน์ที่ร่วมกันหรือขัดกัน สวนทางกันก็ได้ ก็อยู่ที่จุดประสงค์ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกัน ประเทศหนึ่งอาจมีผลประโยชน์ร่วมกันกับอีกประเทศในบางเรื่องและขณะเดียวกันมีผลประโยชน์ที่สวนทางหรือขัดแย้งกันในอีกเรื่องก็ได้ซึ่งก็เกิดอยู่เสมอ ในสังคมระหว่างประเทศจึงไม่ต่างจากสังคมมนุษย์ที่มีรักกัน สามัคคีกัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องปรกติ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ก็คือต้องอยู่ด้วย พัฒนาประเทศไปด้วยกัน ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่นสหประชาชาติในการเป็นตัวเชื่อมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งหลาย
ในส่วนของการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น มีหลากหลายวิธี เป็นงานการทูตที่สำคัญยิ่งที่เรียกว่านโยบายต่างประเทศ ตามปรกติก็จะเริ่มจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เช่นไทยกับอินเดีย มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมาตั้งแต่ปี 1947 จนบัดนี้เป็นเวลา 64 ปีแล้ว เมื่อมีความสัมพันธ์กันแล้ว ในการต่างประเทศ ก็มักจะมีการตั้งผู้แทนของตนไปประจำในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งนั่นก็คือผู้แทนการทูต จากนั้นก็จะใช้ผู้แทนการทูตนี้ละในการติดต่อระหว่างกัน
ผู้แทนการทูตนำโดยเอกอัครราชทูตก็จะมีหน้าที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศตามแนวทางของรัฐบาลของตนกับรัฐบาลที่ตนเป็นผู้แทนอยู่นั้นโดยมีเป้าหมายหรือที่เรียกว่ายุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ ว่าเราต้องการอะไรในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น และเราจะทำอย่างไรให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์กับประเทศนั้น รวมทั้งจะทำอย่างไรจึงจะรักษาผลประโยชน์นั้นให้มั่นคง...เหล่านี้คือหน้าที่ของผู้แทนทางการทูต
ในส่วนของบันทึกนี้จะกล่าวเฉพาะวิธีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งมีตั้งแต่การเพิ่มการติดต่อระหว่างกันผ่านกลไกและกิจกรรมต่างๆ เพื่อที่จะนำประเทศทั้งสองมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น หากเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็คือการรู้จักกันสนิทขึ้น ทำกิจกรรมร่วมกันในสิ่งที่ชอบและเป็นประโยชน์ของทั้งคู่ เช่นไปพบกัน ไปทัศนะศึกษาด้วยกัน ไปอบรมด้วยกัน ในงานการทูต ด้านการเมืองก็มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำ ไปมาหาสู่กันมากขึ้น ทางการค้าก็มีการค้าขายกันได้สะดวกโดยต่างอำนวยความสะดวกให้กันและกัน เชื่อมการติดต่อระหว่างกันทั้งทางบกทางเรือและทางอากาศ ซึ่งเรียกกันว่าส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน สร้างจุดเชื่อมโยงและเครือข่ายระหว่างทั้งรัฐบาลและภาคประชาชนและมีกลไกที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจกรรมระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ หากทำได้ก็จะสามารถนำไปสู่การเป็นมิตรประเทศหรือเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ได้
หนึ่งในกลไกระหว่างประเทศที่สำคัญก็คือการตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างสองประเทศ ( Joint Commission ) ให้มาประชุมกันอย่างน้อยทุกปีหรือสองปีเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ตามปรกติหัวหน้าคณะกรรมาธิการ่วมก็จะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของแต่ละฝ่ายโดยมีปลัดกระทรวงเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโส ก็คงคล้ายกับระดับชาวบ้านมีการประชุมร่วมกันระหว่างหมู่บ้านโดยมีผู้แทนแต่ละหมู่บ้านมาร่วมประชุมกันเพื่อพัฒนาชุมชน
การตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระหว่างประเทศที่มีความสัมพันธ์กันนี้ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการยกระดับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้น เร่งรัดให้ทั้งสองประเทศพัฒนากิจกรรมต่างๆ ระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้น
บันทึกต่อไป มาดูกันว่า คณะกรรมาธิการ่วมไทย-อินเดียนี้จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้อย่างไร
.........................................
ขอแสดงความยินดีกับท่านพลเดชด้วยนะครับสำหรับตำแหน่งใหม่ ;)...
รับกับปีมหามงคลนี้พอดีครับ ;)...
มาเยี่ยมเยือนครับ
ป.,
ขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจครับ
ขอแสดงความยินดีกับวิถีชีวิตใหม่ในพุทธสถานค่ะท่านเอกฯ
ศรีลังกา เป็นอีกเมืองที่น่าค้นหา ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับบันทึกดีๆ เจ้าค่ะ :)