การอยากรู้อนาคตเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็ว่าได้ เราจึงเห็นแทบทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์มี "ผู้ทำนาย" หรือ "หมอผี" หรือ "ผู้หยั่งรู้" ที่แม้จะเรียกต่างกันไป แต่คนเหล่านี้ก็เป็นเหมือนผู้เติมเต็มสิ่งที่มนุษย์หลายคนใคร่อยากรู้ ในต่างประเทศก็มีการพูดเรื่อง "โลกจะแตก" บ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็มักไปสัมพันธ์กับตัวเลขที่เป็น ค.ศ. หรือ เดือน หรือวัน เช่นในปี ค.ศ. ๑๐๐๐ ชาวยุโรปก็เคยคิดว่าโลกจะแตก แม้แต่ในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ ที่ผ่านมาไม่นานเราก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เช่นกัน
ปี ค.ศ. ๑๙๙๙ และ ปี ค.ศ.๒๐๐๐ ดูจะเป็นปีที่น่าจะมีคำทำนายออกมามากที่สุด แต่ส่วนใหญ่จะมาจากทาง ซีกโลกตะวันตก เพราะตัวเลขเหล่านั้นเกี่ยวพันกับคริสตศักราช ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๓ การเรียงตัวของดาวเคราะห์ ๕ ดวงแล้วทำให้โลกแตก Y2K จะทำให้โลกเกิดโกลาหล อย่างไรก็ตามเมื่อไม่เกิดขึ้นก็ไม่มีใครออกมาให้คำอธิบายว่าเพราะอะไร หรืออาจมีแต่ก็ไม่เป็นข่าวดังให้เรารู้กัน
จะว่าไป "ภัยธรรมชาติต่างๆ" หรือ "ภัยจากมนุษย์" ก็ยากที่จะมีใครทราบล่วงหน้าได้ หรืออาจมีบางท่านทราบได้อย่างแม่นยำ แต่ท่านเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็มักนิ่งเฉย เพราะท่านทราบดีว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของ "กรรม" ซึ่งหากเราเข้าใจใน "กรรม" หรือ "กฎแห่งกรรม (Reciprocal Deeds) " ความอยากรู้เหล่านั้นอาจหายไป เราอาจไม่ทราบสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่เราสามารถกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ พระอาจารย์มิซูโอะ บอกว่า "เหตุในปัจจุบัน เป็นผลในอนาคต" เช่นเดียวกัน "ผลในปัจจุบัน ก็มีเหตุมาจากอดีต" แต่เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้จึงก่อเกิดความ "กลัว" ขึ้น กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวป่วย กลัวว่าจะอยู่อย่างไร เมื่อเกิดความ "กลัว" ซึ่งก็คือความ "ไม่รู้" จึงเกิดความใคร่อยากรู้ ปัญหาคือเมื่อรู้แล้วจะทำและคิดอะไรต่อ ผู้ทำนายส่วนใหญ่มักไม่บอกต่อไว้ และหากทำนายไม่ถูกต้องสังคมก็มักลืมเลือนไป แต่ขณะที่เหตุการณ์ยังมาไม่ถึงตามคำทำนาย เราก็ได้เห็นคนที่ได้ (ผล) ประโยชน์ จึงไม่แปลกอะไรที่ ปรากฏการณ์ "น้องปลาบู่" จะเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันนี้ผม "ทำนาย" ไว้
ไม่มีความเห็น