มองจริตมองจิตมองใจ


มองจริตมองจิตมองใจ วันศุกร์ ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐.๕๗ นาฬิกา ติ๋วมักจะใช้ชีวิตประหนึ่งไม่มีใครจับตามมองอยู่ บางทีมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่มีอะไรประทับใจมากๆหรือไม่ก็เสียใจมากๆ หรือบางทีก็ถูกครูเขกกะบากแบบตีแสกหน้าไม่ได้ตั้งตัว ตอนนั้นจะตื่นขึ้นมาเห็นว่า มีใครๆอยู่รอบกายมากมาย มาบัดนี้ หันมองใหม่ แท้ที่จริงเรามีผู้คอยจับจ้อง เราอยู่ทุกขณะ ก็คือ เรา ที่อยู่ข้างในเราเอง ไม่ว่า คิดดี พูดดี ทำดี หรือ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว คนผู้นี้ก็ได้รู้ได้เห็นอยู่เสมอ เป็นประหนึ่งเครื่องบันทึกหนังยาว ที่ไม่มีเวลาต้องหยุดเปลี่ยนม้วน นึกขำ ๆ เขาอาจจะมีเปลี่ยนม้วนตอนเราตายก็ได้ แต่ถ้าต้องมีการมาเกิดอีก ก็คงแค่เปลี่ยนตัวละครในหนังเท่านั้นโดยมีเหตุปัจจัยเก่าๆ เป็นปัจจัยของเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ คิดแบบคนฟุ้งซ่าน ที่มิได้มีตาวิเศษมองเห็น ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ หนังเรื่องนี้คงใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลไม่น้อย กว่าจะมาเป็น ณ ปัจจุบันนี้ บางทีในความฟุ้งซ่านของตนเองก็อยากรู้ว่า อดีตชาติทำอะไรไว้หนอ ถึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเป็นคนนี้ ชอบทำอะไรประหลาดๆ แตกต่างจากคนทั่วไป มักจะทำอะไรที่ แตกต่างกันสุดขั้ว อย่างเช่นขำ ๆ นั่งตอกตะปู โป๊ะ ติดม่านบังตาที่กุฏิกรรมฐาน เสร็จงานมานั่งเย็บผ้า ทำทั้งสองอย่างก็ เบิกบานในการทำทั้งคู่ จับผลัดจับผลูชอบปลูกต้นไม้ สนุกที่ได้เห็นการเติบโต และการตายของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงมือทำ ยอมรับกับตนเองเต็มปากว่า "ทำจากใจ" ทำจากความปรารถนาที่อยู่ภายใน เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เล่าเรียนมาแต่อย่างใด ทำแบบคิดตรงนั้น ทำตรงนั้น ผิดถูก เหมาะไม่เหมาะอย่างไร ก็ว่ากันไป  จริตนิสัยเป็นคนโผงผาง ไม่ค่อยจะสำรวม ชอบร้องรำทำเพลงเหมือนหาอะไรสนุกๆทำ แต่ก็ชอบอยู่คนเดียว หากเปรียบดวงจิตนี้ประหนึ่งหนังยาวหลายๆเรื่อง ที่ถูกบันทึกอยู่ทุกขณะ ก็คงไม่แปลกอะไร ที่ลุกขึ้นมาทำอะไร ด้วยใจแห่งศรัทธานี้ พอทำก็เบิกบานนะ แต่พอไม่ได้ทำก็จะเป็นเซ็งๆ เหมือนไร้ค่า อั้นแน่ แสดงว่า มันอยากมีคุณค่า อยากได้รับการยอมรับ ตัวตนนี่มันก็ติดตามไปทุกที่จริงๆนะคะ เบื้องต้นก็อยากให้ตนเองนี่แหละเห็นคุณค่าในตนเอง แล้วพอทำลงไปก็อยากให้ผู้อื่น เช่น คนที่รัก ที่เคารพ ชื่นชอบ ปรากฏเป็นความคาดหวัง แต่พอพลาดไปจากที่คาดหวัง ก็เจ็บก็ทุกข์ จิตนี้มันยังไงหนอ ครูท่านสอนเสมอว่า "ทำอย่างเต็มที่ แล้วไม่ต้องคาดหวังในผล" สำหรับติ๋วแล้วทำได้บางขณะแต่พอขาดสติก็เผลอคาดหวังไป แล้วดูจริตจะขี้น้อยใจง่าย ก็ยิ่งซ้ำ ไอ้ที่ขี้น้อยใจก็น้อมรับซะว่าเป็นกรรมเก่า หนังม้วนเก่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยินดีเรียนรู้ที่จะก้าวไปแบบ ไม่ต้องหลอกตนเองว่า เลอเริด หมดกิเลส ก็เพราะมองเข้าไปทีไร ก็ยังเห็นเยอะอยู่ ยิ่งมองมากๆก็ยิ่งเห็นมาก แล้วจะมาขี้โม้ว่า หมดกิเลสก็น่าขำ สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ อดทน ก้าวเดินเรียนรู้ต่อไป งดงามแล้วที่ยังมีครูเมตตาคอยตะล่อมไม่ให้ตกหนทางแห่งมรรค
หมายเลขบันทึก: 472157เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2011 01:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 22:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

 ครูท่านสอนเสมอว่า "ทำอย่างเต็มที่ แล้วไม่ต้องคาดหวังในผล"

ชอบประโยคนี้ แต่หลงลืมประจำ

"...อดีตชาติทำอะไรไว้หนอ ถึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเป็นคนนี้ ชอบทำอะไรประหลาดๆ แตกต่างจากคนทั่วไป มักจะทำอะไรที่ แตกต่างกันสุดขั้ว..."

ชอบประโยคนี้ครับ

มีความสุขมาก ๆ นะครับ

ประมาณปลาย ๆ เดือนหน้า

ผมพา อสม. มาประกวดครับ

ที่ สสม. ใกล้ วสส. ครับ

จองคิวอาจารย์ติ๋วล่วงหน้า

จะเลี้ยงข้าวกล่อง + กาแฟ + ไอติม

แถว ๆ นั้นนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท