ความเชื่ออำนาจภายใน – ภายนอกตน
Rotter (1966: 20-25) ได้สรุปทัศนคติ พฤติกรรมเกี่ยวกับความเชื่ออำนาจภายใน - ภายนอก
ตน ในเชิงการรับรู้ในผลตอบแทนจากการกระทำของบุคคล โดยแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะดังนี้ คือ
ความเชื่ออำนาจภายในตน (Internal locus of control) หมายถึง การเสริมกำลังที่มีแหล่งมา
จากความประพฤติ และทัศนคติของบุคคลนั้นๆ เป็นความคิดที่ว่าความสำเร็จและความล้มเหลวที่
เกิดขึ้นกับตนเป็นผลมาจากความสามารถ ทักษะ หรือการกระทำของตนเอง บุคคลซึ่งมีความเชื่อ
ภายในจะมีความกระตือรือร้น เมื่อประสบความล้มเหลวก็จะมีพยายามเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
ความเชื่ออำนาจภายนอกตน (External locus of control) หมายถึง การเสริมกำลังที่มีแหล่ง
มาจากภายนอกบุคคล เป็นความเชื่อที่ว่าความสำเร็จและความล้มเหลวของตนขึ้นอยู่กับโชคลาง
ความบังเอิญหรือขึ้นอยู่กับอำนาจของบุคคลอื่น บุคคลซึ่งมีความเชื่อภายนอกจะเป็นคนที่เฉื่อยชา
ไม่กระตือรือร้น ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในชีวิต
Rotter (1966: 1) กล่าวว่า ความเชื่ออำนาจภายในตน (Internal locus of control) หมายถึง
การที่บุคคลรับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำ หรือความสามารถของตนเอง ดังนั้น
คนกลุ่มนี้จะมีความกระตือรือร้นต่อความเป็นไปของสิ่งแวดล้อม มีการแสวงหาข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหา
ที่เกิดขึ้น ส่วนความเชื่ออำนาจภายนอกตน (External locus of control) นั้น หมายถึง การที่บุคคลรับรู้ว่า
เหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตนนั้นขึ้นอยู่กับอิทธิพลของอำนาจภายนอกที่ตนไม่สามารถ
ควบคมได้ เช่น โชค ความบังเอิญ หรืออิทธิพลของผู้อื่น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่มีการแสวงหา
ข้อมูล เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
Rotter (1966: 2) ได้อธิบายลักษณะความเชื่ออำนาจภายใน – ภายนอกตนว่า เมื่อบุคคล
ได้รับผลตอบแทนจากพฤติกรรมอันหนึ่งจะเกิดความคาดหวังว่า จะได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน
จากสิ่งใหม่ในสถานการณ์ที่คล้ายสถานการณ์เดิม ถ้าเหตุการณ์นั้นเป็นไปตามที่บุคคลคาดหวังไว้
จะทำให้ความคาดหวังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าผลตอบแทนไม่ได้เป็นไปตามที่บุคคลคาดหวัง จะทำให้
ความคาดหวังของบุคคลลดลง การลดหรือเพิ่มความคาดหวังนี้ จะก่อตัวขึ้นจากพฤติกรรมอย่างหนึ่ง
ก่อน แล้วจึงขยายครอบคลุมพฤติกรรมหรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์เดิมเพิ่มขึ้น
เรื่อยๆ จนกลายเป็นบุคลิกภาพที่สำคัญในตัวบุคคล ถ้าประสบการณ์ของบุคคลได้รับการเสริมแรง
บ่อยๆ จะทำให้บุคคลเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความสามารถหรือทักษะของตนเอง ความเชื่อนี้
คือ ความเชื่ออำนาจภายในตน แต่ถ้าพฤติกรรมนั้นไม่ได้รับการเสริมแรง จะทำให้บุคคลเชื่อว่าสิ่งที่
เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นผลจากการกระทำของตนเอง แต่เป็นผลจากโชค เคราะห์ ความบังเอิญ หรือ
สิ่งแวดล้อมบันดาลให้เกิดขึ้น ความเชื่อนี้เรียกว่า ความเชื่ออำนาจภายนอกตน ความเชื่อดังกล่าวจะ
มีผลย้อนกลับไปสู่ความคาดหวังในผลแห่งพฤติกรรมใหม่ๆ อีก ดังภาพที่ 1
Rotter (1966: 3-4) พบว่า บุคคลที่มีความเชื่ออำนาจภายนอกตนมักจะมีแนวโน้มที่จะมี
บุคลิกภาพฉื่อยชา ขาดความพยายาม ไม่มีความกระตือรือร้น ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ความเชื่ออำนาจภายในตน ซึ่งจะกระตือรือร้น มานะพยายามที่จะต่อสู้กับ
ปัญหาต่างๆ จึงมักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต Platt and Eisenman (1968) ศึกษาพบว่า
บุคคลที่มีความเชื่ออำนาจภายในตนจะเป็นผู้ที่กระฉับกระเฉง ว่องไว เห็นคุณค่าของกาลเวลา สามารถ
ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์และมีความวิตกกังวลน้อย นอกจากนั้นแล้ว บุคคลที่มีความเชื่ออำนาจ
ภายในตนยังมีประสิทธิภาพในการควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าบุคคลที่มีความเชื่ออำนาจภายนอก
ตนด้วย
Rotter (1966: 4) ไดสรุปบุคลิกลักษณะของผู้ที่มีความเชื่ออำนาจภายในตนไว้ดังนี้คือ
1. เป็นผู้มีความกระตือรือร้นต่อความเป็นไปของสิ่งแวดล้อม อันจะนำมาซึ่งประโยชน์
สำหรับพฤติกรรมในอนาคต
2. พยายามปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมไปตามลำดับขึ้น
3. เห็นคุณค่าของทักษะ หรือผลสัมฤทธิ์ (Achievement) จากความพยายามของตนเอง
4. ยากที่จะชักชวนให้เชื่อตามโดยไม่มีเหตุผล
ส่วน Eggland (1993: 10) ได้สรุปลักษณะของผู้ที่มีความเชื่ออำนาจภายนอกตน โดยรวบรวม
จากผลการวิจัยต่าง ๆ ไว้ดังนี้
1. เป็นผู้มีความตั้งใจในการปฏิบัติตนเพื่อแก้ไขปัญหาของตนน้อย
2. ขาดความกระตือรือร้นในการแสวงหาข้อมูล และการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหา
3. มีความวิตกกังวลสูงในการกระทำกิจกรรมใดๆ
4. หลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมและการถูกชักจูงในกิจกรรมใดๆ
5. ขาดความพยายามและมีความกลัวในการแสวงหาแหล่งหรือสิ่งที่จะมาช่วยสนับสนุน
ตนเอง
การพัฒนาของความเชื่ออำนาจภายใน - ภายนอกตน
Strickland (1977: 259) กล่าวว่า ความเชื่ออำนาจภายใน – ภายนอกตนจะเริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่
บุคคลอยู่ในวัยเด็กและมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามวัยและการเจริญเติบโตของเด็ก เด็กวัยก่อน
เรียนจะมีการควบคุมสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า และจะได้รับรู้ว่าบุคคลและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อตัวเขา
มาก เนื่องจากตนต้องพึ่งพาคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น ขอบเขตของ
การควบคุมตนเองมากขึ้น เรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเอง โดยเริ่มเคลื่อนย้ายหรือชักจูง ปรับปรุง
สิ่งแวดล้อม พัฒนาทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับคนบุคคลอื่น และเริ่มทำตนใหม่อิทธิพลต่อบุคคล
อื่นเพิ่มขึ้น โดยจะเปลี่ยนจากผู้ที่คอยรับความช่วยเหลือมาเป็นผู้ริเริ่มกระทำกิจกรรมต่างๆ ด้วย
ความกระตือรือร้น ว่องไว การที่เด็กมีการควบคุมตนเองได้ และรับรู้ว่าผลที่เกิดขึ้นมาจากตัวเอง
หรือเป็นผู้ที่มีความเชื่ออำนาจภายในตน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นการพัฒนา
ความเชื่ออำนาจภายใน – ภายนอกตนในวัยเด็กจะพัฒนาตามอายุ โดยเด็กจะมีความเชื่ออำนาจภายใน
ตนเพิ่มขึ้นตามระดับอายุที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความเชื่ออำนาจภายใน – ภายนอกตนจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น เมื่อบุคคลได้รับความทุกข์และรับรู้ว่าตนไม่
สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ บุคคลจะเชื่ออำนาจภายนอกตนมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม
ถ้าเหตุการณ์นั้นดำเนินไปในทางดีและบุคคลรับรู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต เกิดจากการกระทำของ
ตนเอง ความเชื่ออำนาจภายในตนจะเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าสู่วัยชราบุคคลต้องพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น ดังนั้น
ความเชื่ออำนาจผู้อื่นจะสูงขึ้น (Crandall et al., 1965: 328)
การพัฒนาความเชื่ออำนาจภายใน – ภายนอกตนของเด็ก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่
สิ่งที่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ ระดับฐานะเศรษฐสังคมของบิดา มารดา ประสบการณ์ตั้งแต่วัย
เด็ก รวมทั้งวัฒนธรรมและประเพณีการเลี้ยงดูบุตรของบิดา มารดาในแต่ละสังคม
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความเชื่ออำนาจภายใน - ภายนอกตน มีส่วนสำคัญที่ทำให้บุคคลมีบุคลิก
ภาพแตกต่างกันออกไป การที่จะเข้าใจและอธิบายถึงพฤติกรรมของบุคคลใดที่มีความเชื่ออำนาจ
ภายในตนหรือความเชื่อภายนอกตน นอกจากจะทำให้สามารถเข้าใจในพฤติกรรมของบุคคลแล้วยัง
สามารถทำนายพฤติกรรมของบุคคลในสถานการณต่างๆ ได้อีกด้วย
ขอบคุณมากค่ะสำหรับบทความดีๆ