บทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียน ต่อ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์
ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ พ.ย. ๕๔ ผมนั่งระทมความผิดหวัง ที่การ ลปรร. ในเวทีสร้างชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ ครั้งที่ ๒ ไม่ดำเนินตามแนวทาง PLC ผมกลับมาไตร่ตรองอยู่ ๑ สัปดาห์ก็นึกออกว่า เป็นความบกพร่องของผมเองที่ไม่ได้แนะนำคุณอ้อ ว่าต้องปูพื้นทำความเข้าใจ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (ชร.คศ. หรือ PLC) ในมิติที่ลึกแก่ทั้งครูและผู้บริหารที่มาร่วมเวที ลปรร. เสียก่อน เพื่อจะได้มั่นใจว่า สาระของการ ลปรร. จะไม่วนเวียนอยู่กับความภาคภูมิใจตามแนวคิดเดิมๆ
ผมจึงขอนำบางส่วนในหนังสือ วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ ที่มูลนิธิสดศรีฯ กำลังเตรียมการจัดพิมพ์อยู่ มาเผยแพร่ก่อน
ต่อไปนี้เป็น “บัญญัติ ๗ ประการ” ที่ระบุไว้ในหนังสือ ที่แนะนำครูใหญ่ และทีมแกนนำ ให้หาทางดำเนินการ เพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลง
๑. หาทางจัดโครงสร้างและระบบเพื่อหนุนการเดินทางหรือขับเคลื่อนไปสู่ เป้าหมายที่ต้องการ
ที่จริง PLC เป็นการปฏิวัติโครงสร้าง ระบบการทำงาน และวัฒนธรรมการทำงาน ในโรงเรียน จากระบบตัวใครตัวมัน มาเป็นระบบทีม หรือวัฒนธรรมรวมหมู่ (collective culture) โครงสร้างของระบบงาน ระบบการจัดการเรียนการสอน จึงต้องปรับเปลี่ยน ให้เอื้อต่อการช่วยกันดำเนินการช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนล้าหลังให้เรียนตามเพื่อนทัน โดยที่การช่วยเหลือนั้นทำกันเป็นทีม หลายฝ่ายเข้ามาร่วมกัน และกิจกรรมนั้น ทำอยู่ภายในเวลาตามปกติของโรงเรียน ไม่ใช่สอนนอกเวลา
รวมทั้งมีเวลาสำหรับครูประชุม ลปรร. ประสบการณ์การทำงานของ ตน เพื่อหาทางพัฒนาวิธีการทำงานให้ได้ผลดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นวงจร CQI ไม่รู้จบ
๒. สร้างกระบวนการวัดเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว และทำความเข้าใจ เรื่องสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดตัวชี้วัดความก้าวหน้า (progress indicators) ซึ่งสำหรับโรงเรียน ควรวัดที่ผลการเรียนของ นักเรียน ตัวอย่างของตัวชี้วัด เช่น เวลาเรียนของนักเรียนเป็นการเรียนแบบลงมือทำ (action learning) ร้อยละเท่าไรของเวลาทั้งหมด, พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน, ร้อยละของนักเรียนที่มีปัญหาด้านการเรียน/ด้านปัญหาส่วนตัว ที่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที นอกจากนั้น ยังต้องมีตัวชี้วัดความก้าวหน้าของพฤติกรรมการทำหน้าที่ของครู เช่น การแบ่งสัดส่วนเวลาในการทำหน้าที่ของครู ระหว่าง การเตรียมออกแบบการเรียนรู้ (ร่วมกันเป็นทีม) การทำหน้าที่โค้ช หรือผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ให้แก่นักเรียนที่เรียนแบบ PBL การชวนนักเรียนทำ reflection เพื่อตีความผลของการเรียนรู้แบบ PBL การรวมกลุ่มกับทีมครูเพื่อ ลปรร. จากประสบการณ์การทำงาน เป็นต้น
หลักการสำคัญของการกำหนดตัวชี้วัดความก้าวหน้าคือ ต้องมีน้อยตัว (เช่นไม่เกิน ๑๐) เอาเฉพาะปัจจัยที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น และต้องไม่ใช้ในการให้คุณให้โทษครูเป็นอันขาด เพราะนี่คือเครื่องมือของผู้ทำงานเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในที่ทำงาน ไม่ใช่เครื่องมือของการตรวจสอบของฝ่ายบริหารระดับใดๆ ทั้งสิ้น
ตัวชี้วัดความก้าวหน้าที่สำคัญที่สุดคือ ตัวชี้วัดความก้าวหน้า ของการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายคน ที่ช่วยให้ครูรู้ว่านักเรียนคนไหนเรียนล้าหลัง คนไหนเรียนก้าวหน้าไปมากกว่ากลุ่ม
และเมื่อมีการวัดความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของนักเรียนแล้ว ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผลการวัดนั้น รวมทั้งร่วมกันปรึกษาหารือว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียน
๓. เปลี่ยนแปลงทรัพยากร เพื่อสนับสนุนสิ่งสำคัญ
ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ “เวลา” ต้องเปลี่ยนแปลงการจัดการเวลาหรือการใช้เวลาเรียนของนักเรียน และเวลาทำงานของครู เสียใหม่ ให้ทำงานเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียนได้ดีกว่าแบบเดิมๆ รวมทั้งให้สามารถทำงานแบบทีม ใช้พลังรวมหมู่เพื่อแก้ปัญหายากๆ หรือดำเนินการต่อประเด็นท้าทายและสร้างสรรค์ใหม่ๆ
๔. ถามคำถามที่ถูกต้อง
คำถามที่สำคัญสำหรับโรงเรียน สำหรับช่วยให้เป็น “โรงเรียนที่ดี” มีเพียง ๔ คำถามเท่านั้น คือ (๑) ในแต่ละช่วงเวลาเรียน ต้องการให้นักเรียนได้ความรู้และทักษะอะไรบ้าง (๒) รู้ได้อย่างไรว่านักเรียนแต่ละคนได้เรียนรู้ความรู้และทักษะที่จำเป็นนั้น (๓) ทำอย่างไร หากนักเรียนบางคนไม่ได้เรียนสิ่งนั้น (๔) ทำอย่างไรแก่นักเรียนที่เรียนเก่งก้าวหน้าไปแล้ว
๕. ทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องที่มีคุณค่า
ข้อนี้สื่อต่อผู้นำ ซึ่งตามในหนังสือเล่มนี้คือครูใหญ่ หากครูใหญ่ต้องการให้ครูเอาใจใส่การเรียนรู้ของศิษย์ทุกคนเป็นรายตัว ครูใหญ่ต้องหยิบยกเรื่องนี้มาหารืออย่างสม่ำเสมอ หากครูใหญ่ต้องการให้ครูทำหน้าที่ช่วยเหลือนักเรียนโดยทำงานเป็นทีม ก็ต้องจัดเวลาให้ครูปรึกษาหารือและตัดสินใจร่วมกัน รวมทั้งจัดสิ่งสนับสนุนกิจกรรมช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนช้าเหล่านั้น
๖. เฉลิมฉลองความก้าวหน้า
ก่อนจะเฉลิมฉลองความก้าวหน้าตามเป้าหมายในการเรียนรู้ของนักเรียน ก็ต้องมีหลักฐานยืนยันความก้าวหน้านั้น ซึ่งหมายความว่าต้องมีระบบตรวจสอบหรือประเมินผลการเรียนรู้นั้นที่แม่นยำน่าเชื่อถือ และทั้งหมดนั้นมาจากการที่ครูและฝ่ายบริหารมีเป้าหมายร่วมกัน และมีใจจดจ่อเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน การเฉลิมฉลองมีประโยชน์ยืนยันเป้าหมาย และยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการร่วมกัน
ที่จริงการเฉลิมฉลองความสำเร็จ เป็นกระบวนการเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตามเป้าหมายที่กำหนด เป็นการส่งสัญญาณทั้งของความมุ่งมั่น หรือการมีเป้าหมายร่วมกัน การดำเนินการฟันฝ่าความเคยชินเดิมๆ ไปสู่วิธีการใหม่ ที่นักเรียนทุกคนได้รับความเอาใจใส่ และช่วยเหลือหากเรียนไม่ทัน และครูร่วมกันทำงานนี้เป็นทีม รวมทั้งส่งสัญญาณให้สมาชิกของทีมเห็นว่า ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร มีคุณค่าอย่างไรทั้งต่อศิษย์ พ่อแม่ และต่อครู ผู้เขียนหนังสือแนะนำวิธีทำให้การเฉลิมฉลองความสำเร็จ เป็นวัฒนธรรมการทำงานของโรงเรียน ๔ ประการ ดังนี้
๗. เผชิญหน้ากับผู้ต่อต้านเป้าหมายร่วมของคณะครู
ในภาษาของการจัดการสมัยใหม่ นี่คือการจัดการความเสี่ยง (risk management) ในการจัดการการเปลี่ยนแปลง ครูใหญ่ต้องวางแผนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญสภาพนี้ ที่มีครูบางคนแสดงพฤติกรรมไม่ร่วมมือและท้าทาย ต้องไม่ปล่อยให้การท้าทายทำลายเป้าหมายที่ทรงคุณค่านี้
หากจะมีการจัดเวทีเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ครั้งต่อๆ ไป ผมขอเสนอให้ส่งเอกสารบัญญัติ ๗ ประการนี้ไปให้ทีมที่สมัครเข้าร่วมอ่านทำความเข้าใจและเตรียมเรื่องเล่าตามหลัก ๗ ประการนี้ ว่าแต่ละทีมได้ดำเนินการไปอย่างไรบ้าง มีประสบการณ์อย่างไร
ที่จริงไม่ต้องรอให้ถึงเวทีประชุมก็ได้ เวลานี้ มสส. ได้เปิดชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ใน Gotoknow นี้แล้ว จึงขอเชิญผู้บริหารและครูเพื่อศิษย์เข้าไป ลปรร. ประสบการณ์ตรงในการดำเนินการตามบัญญัติ ๗ ประการข้างต้นได้ตั้งแต่บัดนี้
หรือหากท่านต้องการตั้งชุมชน (COP) ย่อยของกลุ่มของท่านเองก็ตั้งได้ตามคำแนะนำนี้ นอกจากนั้น ครูเพื่อศิษย์ท่านใดต้องการใช้เครื่องมือจัด อี-เลิร์นนิ่งให้ศิษย์ Gotoknow ก็ได้พัฒนาเครื่องมือ ระบบจัดการชั้นเรียนออนไลน์ ไว้ให้บริการด้วย
วิจารณ์ พานิช
๔ ธ.ค. ๕๔
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่า ผู้เข้าร่วมเวทีจะต้องรู้และเข้าใจทั้งแนวทางและเป้าหมายของ PLC ก่อนถึงจะเกิดเวทีที่ดำแนินตามบัญญัติ 7 ประการได้ แต่พวกเราผู้บริหารและครูจากมหาสารคามที่เดินทางไปร่วม PLC_2 ในสองวันนั้น ยังเหมือนผู้เริ่มต้นที่ลังเลและเรียนรู้อยู่สำหรับแนวทางของ PLC อย่างไรก็ตาม ตอนทางกลับ AAR แบบอีสาน (ไม่มีลำดับขั้นตอน จับประเด็นจากหลายคำถาม) สะท้อนให้เห็นหลายอย่างว่า เวที PLC_2 ได้เปลี่ยนแนวคิดและสร้างความมุ่งมั้นในใจให้ทั้งผู้บริหารและครูอย่างน้อย 2 คน
ส่วนข้อวัติตามบัญญัติ 7 ประการ นั้นน่าจะเป็นตัวชี้วัดความเข้าใจของสมาชิกได้ ผมมีความเห็นว่า เวทีนั้นจะต้องสอดคล้องกับ "หน้างาน" ในหลายมิติ เช่น สมาชิกในเวทีนั้นเปิดใจให้แก่กัน เชื่อใจกัน มีเป้าหมายในใจเดียวกัน เป็นต้น ผมว่าน่าจะเป็นเวทีเล็กที่ครูทำกันเองในโรงเรียน ส่วนเวทีใหญ่น่าจะเป็นเวทีสร้างและขยายเครือข่ายหรือเป็นเวทีแพิ่มพลังใจและความเชื่อมั่น
ดีใจค่ะที่มีการจัดตั้ง ชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ ขึ้นเพื่อ ลปรร.กันอย่างกว้างขวาง ..ได้ติดตามอ่านมาตลอดตั้งแต่เริ่มจัดตั้งชุมชนนี้ ขอให้กำลังใจสมาชิกทุกท่านค่ะ
เรียน อาจารย์หมอวิจารณ์ ที่เคารพ
ทางทีมงานได้จัดทำเอกสารแนะนำระบบ ClassStart.org ฉบับล่าสุดไว้ที่นี่นะคะ
http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/782/382/original_ClassStart_16_01_55.pdf
โดยในเอกสารได้เขียนสร้างความเข้าใจเรื่อง 21st Century Skills ไว้ด้วยค่ะเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่ครูและเพื่อเชื่อมโยงให้เห็น features ของระบบของ ClassStart ที่จะสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อศตรรษที่ 21 ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยแนะนำ ClassStart แก่วงการครูเพื่อศิษย์
อ.จันทวรรณ