คนไทยพร้อมแล้วยังกับภัยพิบัติธรรมชาติในอนาคต ?
กรอบความคิดรวบยอด
1. ภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายอย่างคาดคะเนได้ เช่นพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือ แม้แต่ภัยสึนามิ
2.หากมีการบริหารจัดการ เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอย่างดี ช่วยลดความสูญเสียได้
3.มนุษย์ต้องรู้จัดพอ ไม่พยายามทำตัวเหนือธรรมชาติหรือเป็นผู้จัดการธรรมชาติ เพราะเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้น(ย้ำ! เท่านั้น!!)
4.คนไทยและเด็กไทยพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตข้างหน้าแล้วหรือไม่
5.ใครบ้างที่จะต้องมีส่วนร่วมเตรียมคนไทยและเด็กไทยให้มีชีวิตรอดหรือผ่านพ้นวิกฤตเหล่านั้นได้
ภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายอย่างคาดคะเนได้
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า โลกใบนี้กำลังมีปัญหาจากกระทำของมนุษย์ เนื่องมาจากมนุษย์พยายามกอบโกยอะไรต่อมิอะไร(ทรัพยากรธรรมชาติ)จากโลกใบนี้ แล้วก็สร้างมลภาวะอะไรต่อมิอะไร(ของเสียทั้งหลาย)ใส่ให้กับโลกใบนี้ แถมเราเรียกการกระทำนี้ว่า”พัฒนา” ถ้าความหมายของคำว่า”พัฒนา”คือความสะดวกสบายของชีวิติภายใต้”กฏกู” ของมนุษย์ ( ไม่ใช่”กฏเกณฑ์นะ”)ที่ว่า”กอบโกยและทำลาย” ก็น่าจะไม่ใช่ น่าจะเป็นความหมายที่ผิด เพราะสิ่งมีชีวิตอื่นที่เขาเหล่านั้นก็เป็นเจ้าของโลกใบนี้ด้วย
ผู้เขียนมีอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว เห็นภัยธรรมชาติก็มากไม่เฉพาะประเทศไทยหรือทั่วทั้งโลก ภัยธรรมชาตินับวันมีความถี่มากขึ้นๆ ความรุนแรงก็มีมากขึ้นๆ ความเสียหายก็มีมากขึ้นๆ ที่สำคัญภัยเริ่มมีเหลากหลายมากขึ้นด้วย
หากมีการบริหารจัดการ เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอย่างดี ช่วยลดความสูญเสียได้
ยกตัวอย่าง กรณีการเกิดน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยในเวลานี้ ที่บางคนเรียก วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ผู้เขียนมีความเชื่อว่า ภัยลักษณะนี้สามารถรู้ล่วงหน้าคาดคะเนได้ ที่สุดคือสามารถวางแผนจัดการมันได้ ไม่ใช่ร้อยแต่ลพความรุนแรง/ความสูญเสียได้ ผู้เขียนไม่ได้เข้าข้างพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างหลับหูหลับตา ทุกวันนี้ “เรา” ยังไม่รู้เลยข้อเท็จจริงของสาเหตุเฉพาะคำว่า การบริหารจัดการน้ำ เกิดความผิดพลาดที่ตรงไหน ใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ ผู้เขียนเบื่อนักการเมืองมากๆ รัฐบาลก็โยนให้ฝ่ายค้าน หาว่าฝ่ายค้านวางยา ฝ่ายค้านก็บอกว่าเขาไม่ได้วางยา แต่จะนโยบายหวังผลความสำเร็จจากการรับจำนำข้าว ที่สุด “เรา” จะเชื่อใคร เรามีมีโอกาสรับรู้ความจริงเลย ภายใต้นักการเมืองที่”ตอแหล”ทั้งหลาย (จำนวนหนึ่ง มากเสียด้วยซิ! ผู้เขียนๆบทความนี้ก่อนที่สภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรองนายกฯ ที่สุดมันก็คือ การเล่นปาหี่ ใช้หรือไม่) ความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นมูลค่าเกินกว่าคนานับ แล้วเราก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาฟื้นฟู
ย้ำอีกครั้งว่า ภัยพิบัติต่างๆ หากมีการวางแผนบริหารจัดการที่ดี รับมือกับมันได้อันจะช่วยลดความสูญเสียได้ ถ้า มีหน่วยงานที่รู้เรื่องรับผิดชอบ มีทีมงานที่รู้เรื่องเข้าใจ(Put the right man on the right job) นักการเมืองอย่าเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวาย พื้นที่นั้นฐานเสียงพรรคนั้นพรรคโน้น ต้องทำอย่างทำนี้ ห้ามทำอย่างนั้น ฟังแล้วเซ็ง! นี่อะไรก็ไม่รู้
มนุษย์ต้องรู้จักพอ
ย้ำ! มนุษย์ต้องรู้จักพอ ไม่พยายามทำตัวเหนือธรรมชาติหรือเป็นผู้จัดการธรรมชาติ เพราะเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้น(ย้ำ! เท่านั้น!!) มหาตมะคานที กล่าวไว้ว่า”ทรัพยากรธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการบริโภค แต่ไม่เพียงพอสำหรับสนองความต้องการ:Enough for need but not enough for greed ” ก่อนที่จะสายเกินไป มนุษย์ต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังนะ หยุดได้แล้วยังกับคำพูดที่ว่า ต้องให้เศรษฐกิจเติบโตเท่านี้เท่านั้นเปอร์เซ็นต์ของGDP ผู้เขียนชอบวิธีคิดของประเทศภูฐานหรือภูทานที่เขาเน้นเรื่องความสุขมวลรวมของประเทศหรือของประชาชน
ย้ำว่าถ้าการพัฒนาประเทศที่เน้นGDP เน้นการเติบโตที่เป็นไปเพื่อการกอบโกยและทำลายสิ่งแวดล้อม หายนะหรือภัยพิบัติจะคืบคานเข้ามาหามากขึ้น ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น ความสูญเสียก็มากขึ้น ท้ายที่สุด เราอาจจะไม่สามารถรักษาโลกใบนี้ให้ลูกหลานคนรุ่นหลังได้อยู่อาศัยต่อไป อย่าลืมว่า มนุษย์อย่าทำตัวเป็นเจ้าของทรัพยากร ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกมากมายที่พวกมันก็ร่วมเป็นเจ้าของด้วย
คนไทยและเด็กไทยพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตข้างหน้าแล้วหรือไม่
ผู้เขียนเคยพูดกับนักเรียนที่หน้าเสาธงและพูดกับคุณครูในห้องประชุมที่ใจความคล้ายคลึงกันคือ บทเรียนการเกิดสึนามิที่เมืองฟูกูชิมะของญี่ปุ่นและการเกิดภัยน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยเราให้ภาพที่เป็นบทเรียนอะไรบ้าง
1.คนญี่ปุ่นเขาไม่แย่งอาหารกัน เขาเข้าแถวรับความช่วยเหลือไม่เหมือนคนไทยแย่งชิงกัน นี่คือคุณภาพของคน “วินัย” ใช่หรือไม่
2.คนญี่ปุ่น เขาไม่โววาย คนไทยเป็นไง ?
3.คนไทยอ่อนแอมากกับการเผชิญกับภัยซึ่งหน้า ทำอะไรไม่ถูกเมื่อภัยมา มีแต่แบมือรับความช่วยเหลือ เข้าใจนะ คือความเดือดร้อน แต่ถามว่า ถ้าประเทศต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวภาคนั้นน้ำท่วม เดี๋ยวภาคนั้น หนาวเย็น เดี๋ยวภาคนั้นแล้งจัด วนเวียนอยู่อย่างนี้ รายการลดแลกชิงแถมที่”รัฐ:รัด-ถะ” ต้องหาเงินมาชดเชยช่วยเหลือ ในภาพรวมมันไม่น้อยนะ เอาเงินมาจากใหน สิ่งเหล่านี้ เราต้องคิด ไม่ใช่ไม่ช่วย เพราะเราก็เสียภาษีให้รัฐ ก็สมควรได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ แต่เราต้องกลับมาคิดว่า เราจะใช้วิธีนี้ตลอดหรือ ก็คงไม่ใช่
สรุป คนไทยอ่อนแอ ขาดสติ คนญี่ปุ่นเข้มแข็ง และมีสติ (ที่พูดนะ ให้คิด ไม่ใช่ให้เถียง) คือคนไทยยุคนี้ใช้อารมณ์มากๆกว่าใช้สติ แต่คนญี่ปุ่นใช้สติมากว่าใช้อารมณ์ การใช้อารมณ์มากกว่าใช้สติเหตุผล นี้อันตราย แล้วภาวนาให้ประเทศไทยมีการเมืองและนักการเมืองที่สะอาด จริงๆๆๆๆๆ
ใครบ้างที่จะต้องมีส่วนร่วมเตรียมคนไทยและเด็กไทยให้มีชีวิตรอดหรือผ่านพ้นเมื่อมีภัยวิกฤต
1.ระดับครอบครัว พ่อแม่ต้องสอนและสร้างโอกาสให้ลูกๆรู้และมีทักษะในการเผชิญกับการมีชีวิตที่ต้องช่วยตนเองบ้าง อย่างน้อย ยามน้ำไม่ไหล ไพดับ ต้องปรับตัวอยู่ได้และอยู่รอดด้วย ต้องสอนให้รู้จักรับรู้ปัญหารับรู้ความเดือดร้อนของผู้อื่นด้วย เพราะเราคือเพื่อนร่วมโลก ร่วมประเทศเดี่ยวกัน ต้องสอนให้รับรู้และร่วมลงแรงร่วมกับครอบครัวในการฝึกฝนกระบวนการตัดสินใจด้วย
2.ในระดับโรงเรียน โรงเรียนเป็นกลไกสำคัญมาก ที่ต้องสอนให้เห็นการเชื่อมโยงของธรรมชาติกับการกระทำของมนุษย์ ที่ไม่สนใจธรรมชาติจนที่ก่อให้เกิดภาวะต่างๆ เช่นภาวะโลกร้อนที่เราพูดกันมากในเวลานี้ การพังทลายของภูเขา ดินโคลนถล่ม ล้วนเกิดจากการบุกรุกแผ้วถางป่าธรรมชาติ(มีรากลึก)มาทำการเกษตร การปลูกยางพาราบนที่สูง ไม่ได้ช่วยรักษาหน้าดินเลย เพราะต้นยางพารา ไม่มีรากแก้ว ส่วนที่เป็นรากของมันอยู่ลึกจากผิวดินเพียงเล็กน้อย ไม่เกิน 2 เมตร เป็นต้น
นอกจากนั้น โรงเรียนต้องสอนและสร้างโอกาสในวิชาลูกเสือ(การเดินทางไกลจริงๆ การผจญภัยภายใต้สถานการณ์ที่โรงเรียนจัดขึ้น เพราะวิชาเหล่านี้คือวิชาการเอาตัวรอด เป็นต้น) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานเกษตร ตามแต่บริบทของแต่ละโรงเรียน อยู่ใกล้น้ำหรือที่ลุ่ม ต้องสอนให้รู้จักว่ายน้ำและการช่วยเหลือคนตกน้ำ อยู่ที่สูงบนดอยใกล้ภูเขา ต้องสอนให้รู้จักการดูแลลักษณะของสีน้ำ ลังเกตสภาพหน้าดิน การทรงตัวของต้นไม้ การไม่อยู่ในตำแหน่งที่น้ำไหลผ่าน สภาพของลำน้ำ เป็นต้น ครูต้องพยายามจุดประกายการคิดนอกกรอบ เช่นการปลูกข้าว การปลูกผัก โดยไม่ใช้ดิน เป็นต้น
3.ในระดับสังคมประเทศชาติ ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบ(เจ้าภาพ)ที่ประกอบด้วยการทำงานของหลายกระทรวงแบบบูรณาการและเน้นการมีส่วนร่วม มีแผนการทำงานที่ชัดเจน ที่สำคัญต้องค้นหาองค์ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติและการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ไม่ใช่ลองผิดลองถูกอย่างทุกวันนี้
ผู้เขียนบอกไม่ได้จริงว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ต้องทำวันนี้คือ การเตรียมเด็กๆให้พร้อมที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์
ไม่มีความเห็น