การคำนวณค่าใช้จ่าย กำหนดราคาหรือค่าบริการ และการจัดจำหน่าย
การจำหน่ายอาหาร ผู้ผลิตอาหารจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการคำนวณค่าใช้จ่าย หรือคิดราคาต้นทุนการผลิตก่อน จึงจะสามารถกำหนดราคา หรือค่าบริการได้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. การคำนวณค่าใช้จ่าย หรือ ต้นทุน
การคำนวณค่าใช้จ่าย หรือต้นทุน หมายถึง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ต้องจ่ายไปเพื่อให้ได้สินค้ามาประกอบเป็นอาหารที่จะจัดจำหน่าย สินค้าต่าง ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นต้นทุน คือ
1.1 ราคาวัสดุที่ซื้อมาประกอบอาหาร เช่น น้ำตาล ไข่ แป้งชนิดต่าง ๆ กะทิ มะพร้าว ข้าวโพด สีผสมอาหาร ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ฯลฯ
1.2 ค่าวัสดุที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง เช่น ถ่าน น้ำมัน ไฟฟ้า และแก๊สที่ใช้หุงต้ม
1.3 ค่าอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สึกหรอในการทำงานแต่ละครั้ง จะต้องคิดค่าสึกหรอและราคาเสื่อมคุณภาพของเครื่องมือ การคิดค่าเสื่อมราคาอาจจะคิดจำนวนครั้งของ การใช้เครื่องมือในแต่ละครั้งตามความเหมาะสมหรืออาจจะใช้วิธีการคิด 10%ของราคาอุปกรณ์ต่อปี (ลังถึง1 ชุดซื้อมาราคาชุดละ 450 บาทเพราะฉะนั้นค่าอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สึกหรอ แล้วจึงหารด้วยจำนวนครั้งที่ใช้ลังถึงในเวลา 1 ปี คือ 450 หารด้วย 10 = 45 บาท/ปี และ 45 หารด้วย จำนวนที่ใช้ลังถึงก็จะได้เป็นค่าสึกหรอของลังถึงในแต่ละครั้ง ตามหลักความเป็นจริงอาจจะไม่ต้องมีรายละเอียดตามที่แสดงไว้ แต่ควรให้มีความเหมาะสม และมีความเป็นจริง
1.4 ค่าแรงงาน ค่าแรงงานควรคิดให้ตามราคาของกรมแรงงานรายวัน
1.5 ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าภาชนะบรรจุที่ใช้เสิร์ฟอาหารหรือใช้ในการบรรจุอาหารเพื่อจำหน่ายตามความต้องการให้กับผู้บริโภค ค่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือเครื่องใช้อื่น ๆ
การคำนวณค่าใช้จ่าย หรือการคิดคำนวณราคาต้นทุนในการลงทุนทำงานทุกอย่างจะต้องทราบการลงทุนเสียก่อน จึงกำหนดราคาสินค้าได้ การจำหน่ายสินค้าจะไม่มีการคาดคะเนราคาสินค้าดังนั้นกระบวนการของ
การคำนวณค่าใช้จ่ายหรือการคิดคำนวณต้นทุน “การทำขนมสาลี่กรอบ”
ตามตัวอย่างข้างล่างมีดังนี้
1) ค่าวัสดุ คิดจากจำนวนที่ใช้วัสดุนั้น ๆ ตามที่ใช้จริง หลังจากเปรียบเทียบหาอัตราส่วนของวัสดุที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด รวมทั้งค่าภาชนะที่ใช้บรรจุในการจำหน่าย (จำนวนที่ใช้จากจำนวนเต็มที่ซื้อซึ่งอาจมีหน่วยเป็นกิโลกรัม กรัม มิลลิลิตร ลูก ฟอง มัด ผล ใบ แพค ห่อฯลฯ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่มีวางจำหน่ายโดยทั่วไป โดยจะต้องทราบราคาจำนวนเต็มที่ซื้อด้วย)
2) ค่าอุปกรณ์สึกหรอที่ใช้ในการประกอบอาหารชนิดนั้น ๆ เช่น ชามผสม กะละมัง ถาด เครื่องชั่ง เตาอบ เครื่องตีไข่ ที่ร่อนแป้ง ช้อน ทัพพี ถ้วยจีบพิมพ์ขนม ถ้วยตวง ช้อนตวง เป็นต้น
3) ค่าขนส่งในการซื้อวัสดุ หรือส่งสินค้าไปยังพ่อค้าคนกลางและผู้บริโภค โดยคำนวณเฉลี่ยจากวัสดุ หรือส่งสินค้าทุก ๆ ชนิดไปยังพ่อค้าคนกลางและผู้บริโภค หากเป็นการปฏิบัติงานของผู้เรียนอาจจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ได้ เนื่องจากผู้เรียนซื้อวัสดุจากแหล่งจำหน่ายที่อยู่ใกล้บ้านและการจำหน่ายของผู้เรียนก็เป็นการจำหน่ายภายในโรงเรียน หลังจากการปฏิบัติงานหรือนำกลับไปจำหน่ายที่บ้าน ซึ่งผู้เรียนจำเป็นจะต้องกลับอยู่แล้ว
4) ค่าเชื้อเพลิงให้คำนวณราคาแก๊สหุงต้ม ค่าน้ำ ค่าไฟที่ใช้โดยการคาดคะเนรวมโดยคำนวณเป็นชั่วโมง ตามข้อตกลงที่เห็นว่าเหมาะสม ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ
5) ค่าแรงงาน ที่ใช้ในการประกอบอาหารนั้น ๆ คิดอัตราการจ้างแรงงาน
รายวันหรือรายชั่วโมงทั่ว ๆไป โดยคำนวณเวลาในการประกอบอาหารนั้น ๆ จนเสร็จสิ้นและสามารถนำไปจำหน่ายได้
6) การคิดคำนวณหากำไรหากมีการจัดจำหน่าย โดยคำนึงถึงขั้นตอน
ความประณีตหรือเวลาที่ใช้ในการประดิดประดอยอาหารนั้น ๆ เช่นระหว่างขนมกล้วยทอด กับ ปั้นขลิบ ควรกำหนดกำไรของปั้นขลิบให้มากกว่าอีกหนึ่งหรือสองเท่าของขนมกล้วยทอด เป็นต้น
*** ตั้งแต่รายการที่ 2 – 5 อาจจะคิดจาก เปอร์เซ็นต์ของราคาวัสดุทั้งหมด จะเป็น 10 – 50 % ขึ้นอยู่กับความยาก- ง่าย อุปกรณ์ที่นำมาใช้ และเวลาที่ใช้ในการทำงาน ****
ตัวอย่างที่ 1 การคำนวณค่าใช้จ่าย การทำขนมสาสี่กรอบ
ที่ |
รายการจากตำรับ |
จำนวนที่ใช้จากจำนวนเต็มที่ซื้อ |
ราคาจำนวนเต็มที่ซื้อ |
จำนวนเงิน |
1 2 3 4 5 6 |
แป้งสาลีชนิดเบา 3 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 3 ½ ถ้วยตวง ไข่ไก่ขนาดกลาง 6 ฟอง มะพร้าวขูดขาว 4 ถ้วยตวง กลิ่นวานิลา 2 ช้อนชา กระทงกระดาษ 60 ใบ |
300 กรัม 700 กรัม 6 ฟอง 500 กรัม 10 มล./ 454 มล. 60 ใบ / 800 ใบ |
กก.ละ 32 บาท กก.ละ 20 บาท ฟองละ 3 บาท กก.ละ 17 บาท ขวดละ 155บาท แถวละ 36 บาท |
32´× 300 = 9.60 บาท 1,000 20 ×´ 700 = 14 บาท 1,000 6 ×´ 3 = 18 บาท 500 × 17 = 8.50 บาท 1,000 10 ×´155 =3.40 บาท 454 60 × 36 =2.70 บาท 800 |
รวมจ่ายค่าวัสดุทั้งหมด |
56.20 บาท |
รวมจ่ายค่าวัสดุทั้งหมด 56.20 บาท คิดเป็น 57 บาท
ค่าแรงงาน 12 บาท
ค่าอุปกรณ์สึกหรอ 2 บาท 10 -50 % ของค่าวัสดุทั้งหมด
ค่าเชื้อเพลิงใช้ 1 ชั่วโมง 8 บาท
ค่าพาหนะค่าขนส่ง 5 บาท
ค่าภาชนะบรรจุเพื่อจำหน่าย 3 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 87 บาท
จำนวนเงิน 87 บาท คือ ต้นทุนในการทำขนมสาลี่กรอบ เมื่อรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้เท่าไร นั่นคือ ต้นทุนการผลิตทั้งหมดของขนม หากคิดราคาต่อหน่วย ซึ่งมีจำนวน 60 ชิ้นก็จะได้ราคาต่อหน่วย คือ 87หารด้วย 60
= 1.45 บาท
2. การคิดกำไร จะต้องการกำไรเท่าไร ให้คำนึงถึงขั้นตอน กระบวนการ ความยากง่าย และการประดิดประดอยของอาหารดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น อาจจะเป็น10% - 100% มีวิธีการดังนี้
ต้นทุนการผลิต × เปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ = กำไรที่ต้องการ
ตัวอย่างที่ 2 การคำนวณหากำไร
หากต้องการกำไรในการทำขนมสาลี่กรอบ 20% จะสามารถคำนวณได้ดังนี้ 87 × 20 ÷ 100 = 17.40
กำไรและขาดทุนเกิดจากต้นทุนและการขาย ราคาขายมากกว่าต้นทุน เรียกว่า กำไร แต่ถ้าราคาขายน้อยกว่าต้นทุนหรือเสมอทุน เรียกว่า ขาดทุน
3. องค์ประกอบที่ใช้ในการกำหนดราคาหรือค่าบริการ
การกำหนดราคาหรือค่าบริการนั้น ไม่ควรกำหนดให้สูงมากเกินไป ควรกำหนดให้เหมาะสมกับอาหาร ซึ่งหมายถึงวัสดุที่ใช้ประกอบเป็นอาหารนั้นๆ การกำหนดราคาอาหารขึ้นอยู่กับประเภทของการจัดตั้งร้านอาหารและบริการ โดยใช้หลักความพอใจของคนขาย ควรมีกำไรบ้างพอสมควรแก่ราคาต้นทุนไม่ควรตั้งราคาสูงจนเกินไปควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับเศรษฐกิจของสภาพท้องถิ่น เพื่อสะดวกในการประกอบกิจการให้เจริญก้าวหน้า และคงสภาพอยู่ได้ โดยองค์ประกอบที่ใช้ในการกำหนดราคาหรือค่าบริการนั้นมีหลักในการพิจราณาดังนี้
3.1 อาหารมีหลักการปรุงที่สงวนคุณค่าทางโภชนาการ
3.2 ให้คำนึงถึงผู้บริโภค นิสัยการกิน วัฒนธรรม ประเพณีและศาสนา
3.3 ให้มีสี รูปลักษณะ เนื้อสัมผัสรสและวิธีการประกอบอาหารที่แตกต่างกัน
3.4 ไม่ให้มีการซ้ำซ้อนของลักษณะอาหาร
3.5 ให้ใช้อาหารที่มีอยู่ตามฤดูกาลให้มาก
3.6 ให้มีการเปลี่ยนแปลงรายการอาหารเสมอ
3.7 ให้มีการส่งเสริมนิสัยการกินที่ดีของผู้บริโภค โดยให้มีการเสิร์ฟอาหารใหม่ ๆ บ้างเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการเรียนรู้ของใหม่ ๆ
3.8 สภาวะแข่งขันของตลาด กำลังชื้อของผู้บริโภค และราคาควบคุมของกระทรวงพานิชย์
3.9 ให้มีการจัดอาหารในโอกาสพิเศษและตามเทศกาลต่างๆ เป็นครั้งคราว
3.10ความสะอาดของอาหาร ไม่มีการปนเปื้อนจากสิ่งต้องห้ามตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหากต้องการขายให้ได้ราคาแพง คุณภาพอาหารต้องดี
3.11 มีป้ายสัญลักษณ์ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองเรื่องความสะอาด
4. การกำหนดราคาขาย ( การกำหนดราคาหรือค่าบริการ )
การกำหนดราคาหรือค่าบริการไม่ถูกต้อง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กิจการไม่ก้าวหน้า หรือล้มเหลว นอกจากการขาดแคลนเงินทุน ขาดการจัดการที่ดี และการจัดทำบัญชีที่ไม่ดีพอ ซึ่งการกำหนดราคาหรือค่าบริการทำได้ไม่ยาก หากทราบราคาต้นทุนของสินค้า แล้วนำมาคำนวณราคาทุนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็จะสามารถกำหนดราคาสินค้าไดไม่ยาก
จากตัวอย่างที่ 1 และตัวอย่างที่ 2 ขนมสาลี่กรอบ จะต้องกำหนดราคาขาย โดยการนำราคาทุนรวมกับกำไรที่ต้องการ คือ
87 + 17.40 = 104.40 ซึ่ง 104.40 คิดเป็น 105 บาท
105 บาท คือ ราคาที่ต้องขายขนมสาลี่กรอบให้ได้ เป็นอย่างต่ำ
และเมื่อต้องการคิดราคาต่อหน่วย ซึ่งมีจำนวน 60 ชิ้น ก็จะได้ราคาต่อหน่วยคือ 105 ÷ 60 = 1.75 บาท
สรุป เมื่อขายได้กำไร
ราคาขาย = ต้นทุน + กำไร
ต้นทุน = ราคาขาย – กำไร
กำไร = ราคาขาย – ต้นทุน
เมื่อขายขาดทุน
ราคาขาย = ต้นทุน - กำไร
ต้นทุน = ราคาขาย + กำไร
กำไร = ต้นทุน – ราคาขาย
การกำหนดราคาหรือค่าบริการมีหลัก คือ ให้ผู้ขายคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยตรงกับราคาสินค้า โดยการนำต้นทุนบวกกับกำไรที่ต้องการ ก็จะได้ราคาขายสินค้าที่เหมาะสมทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความยากง่ายของขนมหรืออาหารนั้นๆ ด้วย
5. การดำเนินการจัดจำหน่าย
เมื่อผลิตภัณฑ์พร้อมที่จะออกสู่ตลาด ขั้นต่อไปคือ การจัดจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิต จะมีความยุ่งยากในการผ่านสินค้าถึงมือผู้บริโภคโดยตรง จึงจำเป็นต้องอาศัยคนกลางเข้ามาช่วยในการจัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งมีวิธีการดำเนินการ 3 ทาง คือ
5.1 ผ่านร้านค้าปลีกของผู้ผลิต เช่น มีร้านค้าของตนเอง
5.2 ขายแบบส่งพนักงานไปขายกับผู้บริโภคโดยตรง
5.3ส่งผ่านทางไปรษณีย์ หรือบริการขนส่ง การขายวิธีนี้จะใช้ได้กับสินค้าบางตัวเท่านั้น เพราะ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่จะผูกขาดสินค้าบางตัวจากผู้ผลิต เช่น ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ
6. คุณลักษณะของผู้จัดจำหน่าย
การจัดจำหน่ายอาหารและขนมนั้น ข้อที่จูงใจและชักนำลูกค้าให้ให้เข้าร้านได้มาก นอกจากอาหารหรือขนมที่อร่อย สะอาดและราคาถูกแล้ว คุณลักษณะของผู้จัดจำหน่าย ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งควรมีคุณลักษณะดังนี้
6.1 แต่งกายสะอาด
6.2 พูดจาด้วยคำพูดที่ไพเราะ
6.3 ต้อนรับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
6.4 ควรกล่าวคำขอบคุณหรืออื่น ๆ ต่อลูกค้าที่มาอุดหนุน
6.5บริการให้ความสะดวกสบายด้วยความเต็มใจ
6.6 ถามความประสงค์ และสนองความประสงค์ด้วยความเต็มใจ
6.7 ลดราคาให้ลูกค้าบ้างเล็กน้อยเพื่อเป็นสินน้ำใจ หรือมีของแถมบ้างในบางโอกาส
นอกจากคุณลักษณะที่กล่าวมาแล้วข้างต้นการสำรวจความต้องการของตลาด และตลาดที่อยู่ไกลออกไป ผู้ผลิต จะต้องมีการหาสถิติความต้องการของตลาดแต่ละปีที่ผ่านมา แล้วนำมาสรุปเพื่อจะผลิตสินค้าออกจำหน่ายตามความต้องการของตลาดแต่ละแห่ง ก็ทำให้การจัดจำหน่ายประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น
เนื้อหาละเอียดมากขอบพระคุณค่ะ