ดร.นัทธี จิตสว่าง
รัฐประศาสนศาสตร์จัดเป็นศาสตร์ที่กำลังเติบโตเพราะเป็นศาสตร์ที่เพิ่งพัฒนาขึ้มาเมื่อประมาณ
200 กว่าปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับศาสตร์สาขาอื่นๆ
ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นเวลากว่าพันปี
รัฐประศาสนศาสตร์จึงมีองค์ความรู้ที่ไม่มากพอที่จะประกาศตัวเป็นศาสตร์ที่มีความแข็งแกร่ง
ยังจะต้องมีการสะสมความรู้อีกมากมาย
รวมทั้งมีการพัฒนาทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการพรรณนา
อธิบาย
และทำนายตัวแปรต่างๆในทางการบริหารภาครัฐอันเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ของรัฐประศาสนศาสตร์ที่สำคัญ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าจะพิจารณาก็คือว่ารัฐประศาสนศาสตร์ต้องการพัฒนาทฤษฎีเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ขึ้นมาเพื่อเป็นศาสตร์เพียงเท่านั้นหรือรัฐประศาสนศาสตร์ต้องการสร้างทฤษฎีที่นำไปใช้ในการปฏิบัติงานของนักบริหารภาครัฐ เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงและนับเป็นทิศทางของรัฐประศาสนศาสตร์ที่น่าสนใจที่บทความเรื่องนี้ประสงค์ชี้ให้เห็นถึงทิศทางที่พึงประสงค์ของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ในปัจจุบัน
ทฤษฎีที่มีความสำคัญต่อรัฐประศาสนศาสตร์หรือทำไมนักรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์
ทั้งที่ๆ รัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์ เป็นสหวิทยาการ
และเป็นศาสตร์กึ่งปฏิบัติ ประเด็นนี้ Frederickson and Smith (2003)
กล่าวอย่างชัดเจนว่าจำเป็นที่ต้องให้ความสนใจต่อทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์
เพราะการใช้แต่สามัญสำนึก ปัญญา
และประสบการณ์ของนักบริหารนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้นักบริหารสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมได้
ขณะเดียวกันทฤษฎีก็จะช่วยสร้างองค์ความรู้ในรัฐประศาสนศาสตร์ให้มีความแข็งแกร่ง
แต่ปัญหามีอยู่ว่าทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์กำลังจะพัฒนาไปในทิศทางใดในการสร้างองค์ความรู้ของรัฐประศาสนศาสตร์
เมื่อกล่าวถึงทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์
สิ่งที่น่าพิจารณาในการกำหนดทิศทางของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ก็คือ
คำถามที่ว่าทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์มีกี่ประเภท
คำตอบของเรื่องนี้ก็คือว่า
ทฤษฎีจะมีกี่ประเภทนั้นก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์การนำมาใช้ในการจัดประเภท
หรือเกณฑ์ที่นำมาใช้เป็นการแบ่ง เช่น
การนำเกณฑ์เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาองค์ความรู้มาใช้ในการจัดประเภทก็จะสามารถแบ่งได้เป็นทฤษฎีเชิงอุปมาน
(Deductive Theory) กับทฤษฎีเชิงอนุมาน (Inductive Theory)
ถ้าแบ่งตามขนาดของแนวคิดก็อาจแบ่งเป็นทฤษฎีมหภาค เช่น
ทฤษฎีด้านทางเลือกสาธารณะ และทฤษฎีจุลภาค เช่น ทฤษฎีองค์การต่างๆ
แต่ถ้าแบ่งตามจุดมุ่งหมายของทฤษฎี Stephen K Bailey (1968)
ได้จำแนกทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 4 ประเภท
1.Descriptive – Explanatory Theory
เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการพรรณนาและอธิบายโดย Descriptive Theory
เป็นการพรรณนาที่มีตัวแปรตัวเดียว เป็นการพรรณนาลักษณะต่างๆ
ของตัวแปรตัวนั้นในมิติต่างๆ ส่วน Explanatory
Theoryเป็นการอธิบายที่มีตัวแปร 2 ตัว คือ
สามารถระบุได้ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัจจัยอีกปัจจัยหนึ่งตามมา
เช่น
ความผูกพันต่อองค์การมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานในองค์การ
เป็นต้น
2. Assumptive Theory เป็นการกล่าวถึงเงื่อนไขที่เกิดก่อนแล้วนำไปใช้ในการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา ในลักษณะ if X, then Y เช่นเมื่อเห็นงบโฆษณาขององค์การเพิ่มขึ้น สิ่งที่น่าจะตามมาก็คือการเห็นยอดขายขององค์การเพิ่มขึ้น ดังนั้นทฤษฎีที่อธิบายให้ผู้สนใจมีความเข้าใจในทฤษฏี Descriptive and Explanative มากยิ่งขึ้น
3. Instrumental Theory
เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ซึ่งถูกนำมาใช้ในรัฐประศาสนศาสตร์
เนื่องจากรัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์จึงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์
เช่น ทฤษฎีจูงใจ ทฤษฎีภาวะผู้นำ
หรือทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการบริหารต่างๆ เช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับ QC, PMQA
หรือ ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโดยวัตถุประสงค์
4. Normative Theory เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ควรจะเป็น
จึงเป็นเรื่องของการใช้ค่านิยมในการตัดสินใจแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐประศาสนศาสตร์
เพราะรัฐประศาสนศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับผู้บริหารที่จำเป็นจะต้องไปเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ
ซึ่งต่างจากทฤษฎีประเภทอื่นๆ
ที่กล่าวที่เน้นการให้ความรู้แต่ทฤษฎีทางด้าน normative
จะให้ทางเลือกในการตัดสินใจจึงเป็นทฤษฎีที่มีความสำคัญ
อย่างไรก็ตามนักทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่นิยมที่จะแบ่งทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น
2 ประเภท คือ ทฤษฎีเชิงประจักษ์ (Empirical Theory)
และทฤษฏีเชิงปทัสถาน (Normative Theory) (อุทัย เลาหวิเชียร,
2550) โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะครอบคลุมถึงทฤษฎีการพรรณนาและอธิบาย
(Descriptive -Explanatory) ทฤษฎีทำนายตามเงื่อนไขที่เกิดก่อน
(Assumptive Theory) และทฤษฏีที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์
(Instrumental Theory) ตามแนวคิดของ Stephen K Bailey นั้นเอง
ทั้งนี้
โดยทฤษฎีเชิงประจักษ์จะเป็นทฤษฎีและแนวความคิดที่เน้นการสั่งสม
องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ (Science)
ส่วนทฤษฎีและแนวความคิดเชิงประจักษ์เน้นการอธิบายเชิงปรัชญาและค่านิยม
ดังนั้น
ทฤษฎีทั้งสองแนวจึงมีการแสวงหาองค์ความรู้และการนำมาประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกันอย่างมาก
โดยทฤษฎีและแนวความคิดทั้งสองต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน
อนึ่ง จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน
ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ ทฤษฎีตัวแบบการตลาด
หรือทฤษฎีองค์การ
ต่างล้วนเป็นทฤษฎีที่เน้นการเพิ่มพูนความรู้แทบทั้งสิ้น
การที่รัฐประศาสนศาสตร์เน้นการใช้ทฤษฎีเชิงประจักษ์ก็เพื่อที่จะสร้างองค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ให้แข็งแกร่ง
เนื่องจากรัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ยังขาดการพิจารณาองค์ความรู้อีกมาก
แต่การมุ่งพิจารณาความเป็นศาสตร์แต่ประการเดียวจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่
เพราะรัฐประศาสนศาสตร์เป็นวิชาที่นักบริหารต้องการนำไปใช้งาน
ต้องการองค์ความรู้ในเชิงปฏิบัติ
ซึ่งองค์ความรู้ทางวิชาการประการเดียวไม่เพียงพอจะต้องอาศัยค่านิยม
ปทัสถาน และประสบการณ์มาช่วยในการตัดสินใจ การกำหนดนโยบายและการทำงาน
อาจมีข้อโต้แย้งว่าการที่รัฐประศาสนศาสตร์นำเอาประสบการณ์ ปรัชญา
ค่านิยม และปัญญา มาใช้ในการทำงานมากขึ้น
ก็ทำให้รัฐประศาสนศาสตร์ห่างไกลความเป็นศาสตร์มากขึ้น
เพราะไม่ได้เดินตามแนวทางการสั่งสมความรู้แบบวิทยาศาสตร์
แต่นักรัฐประศาสนศาสตร์ก็อาจตั้งคำถามว่าแล้วรัฐประศาสนศาสตร์จะเป็นศาสตร์ไปทำไม
การเป็นศาสตร์ที่แข็งแกร่งแล้วสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่
เพราะสิ่งที่รัฐประศาสนศาสตร์ต้องการคือการนำไปใช้ในการปฏิบัติงานบริหารมากกว่าการสร้างทฤษฎีเพื่อนำไปสู่การเป็นศาสตร์บริสุทธิ์
จึงควรเน้นการสร้างทฤษฎีที่นำไปสู่การปฏิบัติโดยเฉพาะการกำหนดนโยบายของภาครัฐและองค์การสาธารณะ
เพื่อสร้างคุณค่าและประโยชน์ต่อสังคมอย่างเสมอภาค ยุติธรรม
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของทุกสังคมเพราะทุกสังคมที่มีความเจริญรุ่งเรืองล้วนแต่เป็นสังคมที่มีการบริหารจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพทั้งสิ้น
ดังนั้น
การส่งเสริมการสร้างทฤษฎีเชิงปทัสถานในรัฐประศาสนศาสตร์ก็จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐประศาสนศาสตร์ในเรื่องค่านิยมและหลักปรัชญาที่จะช่วยนักบริหารในการตัดสินใจ
กำหนดนโยบายและสามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์มีลักษณะที่ Frederickson and Smith
(2008 : 4) กล่าวว่าเป็นศาสตร์ประยุกต์มากกว่าเป็นศาสตร์บริสุทธิ์
ที่ว่าเป็นศาสตร์ประยุกต์เพราะจะต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาองค์ความรู้ให้สอดคล้องกับสภาวะของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
หลายกรณีที่ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ต้องถูกท้าทายและโต้แย้งเพราะไม่สามารถนำไปใช้ในโลกของความเป็นจริงหรือในทางปฏิบัติได้
การกำเนิดของรัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ (New Public Administration)
เป็นตัวอย่างกรณีหนึ่งที่เกิดจากการที่ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ในสมัยนั้นไม่สามารถตอบสนองต่อการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ
ในสังคมอเมริกันในขณะนั้นได้
ในขณะที่สังคมอเมริกันกำลังเกิดปัญหามากมาย
ปัญหาการต่อต้านการเหยียดผิว ต่อต้านสงครามเวียดนาม และปัญหาอาชญากรรม
แต่นักรัฐประศาสนศาสตร์สมัยนั้นก็ยังพร่ำอธิบายถึงทฤษฎีองค์การ
การเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทำงาน
ซึ่งไม่สอดคล้องกับปัญหาสังคมในขณะนั้น
จึงเกิดการรวมตัวของนักวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ที่เสนอแนวทางใหม่ของรัฐประศาสนศาสตร์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคมมากขึ้น
ดังนั้นเพื่อรัฐประศาสนศาสตร์เป็นศาสตร์ประยุกต์มีหลายกรณีที่ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์เป็นหลักการเชิงปทัสถาน
คือเสนอแนวทางว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
อาจมีข้อโต้แย้งว่าทฤษฎีเชิงประจักษ์จะมีข้อดีที่สามารถพรรณนา อธิบาย
และสามารถทำนายได้ จึงเกิดความชัดเจน (Precision)
สามารถที่จะทดสอบหรือพิสูจน์ได้ เช่น ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์
หรือทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์การจัดการซึ่งทำให้เกิดอำนาจในการทำนายซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของทฤษฎี
แต่สิ่งใดที่ได้ความชัดเจนสามารถลงรายละเอียดได้ก็จะเสียประโยชน์ในการมองภาพรวมหรือกรอบใหญ่ๆ
รวมทั้งไม่สามารถศึกษาถึงกระบวนการที่มีความสลับซับซ้อนต่อเนื่องจนทำให้เกิดผลตามมา
สิ่งที่ทฤษฎีเชิงประจักษ์ในทางรัฐประศาสนศาสตร์ทำได้ดีคือสิ่งที่
Frederickson and Smith (2003) กล่าวว่าเป็นการฉายภาพนิ่งทีละภาพ
มีรายละเอียดแต่ขาดความต่อเนื่องและมองภาพรวมซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของทฤษฎีเชิงปทัสถานซึ่งเน้นการเชื่อมโยงกับการวิจัยเชิงคุณภาพควบคู่ไปกับการวิจัยเชิงปริมาณที่มีความใกล้ชิดกับการวิจัยเชิงประจักษ์
ทั้งนี้เพื่อให้นักบริหารสามารถเข้าใจภาพรวมของระบบบริหารในกรอบใหญ่ได้
รวมทั้งได้เห็นถึงพัฒนาการและกระบวนการในการบริหารหรือกำหนดนโยบายอย่างต่อเนื่องที่มีความสลับซับซ้อนได้อย่างชัดเจน
ซึ่งนักบริหารต้องมีความสามารถในการมองภาพรวมและวิเคราะห์ได้ทั้งระบบ
โดยทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ในระยะหลังได้เอื้อประโยชน์ต่อรัฐประศาสนศาสตร์ในแนวนี้
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎี Critical Theory, New Public Management,
Refounding Public Administration หรือ Postmodernism Theory
เป็นต้น
ที่อภิปรายมาดังกล่าวนี้มิได้หมายความว่ารัฐประศาสนศาสตร์ควรสนใจแต่เฉพาะการสร้างทฤษฎีเชิงปทัสถาน
แต่หากจะต้องพัฒนาองค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ไปพร้อมๆ
กันทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ที่อาศัยหลักทฤษฎเชิงประจักษ์และอาศัยทฤษฎีเชิงปทัสถานเพราะต่างมีข้อดีและข้อเสียที่ช่วยเสริมซึ่งกันและกัน
เป็นการผสมผสานของหลักทางวิชาการกับหลักการปฏิบัติที่นักบริหารงานภาครัฐต้องนำไปใช้โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ
ที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวทางของวิทยาศาสตร์ไปควบคู่กับแนวทางกับแนวทางเสริมสร้างความรู้โดยอาศัยหลักปรัชญาเช่น
หลักประชาธิปไตย หลักความเสมอภาค หลักประสิทธิภาพ
อันจะทำให้รัฐประศาสนศาสตร์
มีรากฐานที่มีความมั่นคงที่จะพัฒนาไปสู่ศาสตร์ประยุกต์ที่มีความแข็งแกร่งในอนาคตต่อไป
***************************
อ้างอิง
อุทัย เลาหวิเชียร, รัฐประศาสนศาตร์ : ลักษณะวิชาและมิติต่างๆ :
กรุงเทพฯ สำนักพัฒน์
สมาธรรม, 2550.
George Frederickson and Kevin B. Smith,
The Public Administration Theory Primer. Colorado: Westview,
2003
Stephen K Bailey, “Objective of the
Theory of Public Administration”, in J. CharlesWorth. ed. Theory
and Practice
of Public Administration, Philadelphia: American Academy of
Political and
Social Science, 1968.
ไม่มีความเห็น