ดินแดนเห็นตะวันก่อนใครในสยาม


บ้านเรือนผู้คนเป็นระเบียบ



จำได้ว่าเมื่อแม่ต้อยไปรพ.เพื่อคลอดลูกชายคนเล็กเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา  อาจารย์แพทย์ที่ดูแลแม่ต้อยเป็นคนเก่งมาก
ท่านมีนักศึกษาแพทย์ที่มาเรียนรู้ โดยมีแม่ต้อยเป็นตัวอย่างการเรียนรู้ในครั้งนั้น
คงจะเป็นเพราะว่าแม่ต้อยท้องลูกคนที่สามในช่วงที่อายุค่อนข้างมากคือเกือบสี่สิบปี  จึงได้รับเกียรติให้เป็นตัวอย่างการเรียนรู้

          นักศึกษาแพทย์สองสามคนที่วนเวียนมาลูบๆคลำๆบริเวณหน้าท้องของแม่ต้อย
และต้องตอบคำถามอาจารย์แพทย์ท่านนั้นด้วย  แม่ต้อยไม่ได้ยินคำถามหรือคำตอบในช่วงนั้นเพราะอาการปวดท้องคลอดเริ่มกระชั้นถี่เรื่อยๆ

แต่ความทรงจำยังชัดเจนและจำได้แม้ว่าจะผ่านมาแล้วยี่สิบสองปีก็คือ  เสียงอันเข้มงวดของอาจารย์แพทย์ท่านนั้น หลังจากที่คงจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยจะถูกใจนัก

“ เดี๋ยวจะให้ไปอยู่ที่โขงเจียมเสียเลย”

แม้ว่าจะยังมีอาการปวดท้องเป็นระยะ
แต่แม่ต้อยก็แอบเห็นใจน้องๆนักศึกษาแพทย์เหล่านั้นจริงๆ

และชื่อ” โขงเจียม” จึงอยู่ในความทรงจำตั้งแต่วันนั้น
และตั้งใจว่าในวันหนึ่งจะมาเยี่ยมชมให้ได้

          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในปีนี้ ๒๕๕๔ ลูกชายแม่ต้อยคนที่คลอดในวันนั้น บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว
แม่ต้อยจึงเพิ่งจะมีโอกาสมาตามความฝันเสียที



เป็นเพราะมหาอุทกภัยน้ำท่วมในปีนี้
นั่นเองที่ทำให้แม่ต้อยต้องออกจากบ้านและร่อนเร่ไปพักตามที่ต่างๆมานานนับเกือบเดือนแล้ว
เพราะที่บ้านน้ำท่วมถึงอกและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปได้
แม่ต้อยกะในใจว่าแม่ต้อยคงต้องร่อนเร่ไปทั่วประมาณเดือนมกราคม ๒๕๕๕
จึงน่าจะกลับเข้าไปอยู่ได้



 



ในช่วงลี้ภัยนี้ แม่ต้อยจึงจัดโปรแกรมทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด
และทำหน้าที่ต่างๆตามที่คนเชิญชวนให้ไปร่วมงาน เช่น งานแต่ง งานบวช



ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
แม่ต้อยมีงานในแถบจังหวัดกาฬสินธ์ คือที่รพ.ยางตลาด และในวันเสาร์ และ อาทิตย์
แม่ต้อยยังได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้ใหญ่ในพิธีแต่งงานที่นครราชสีมา
และที่อุบลราชธานี ติดต่อกันสองวันซ้อน เรียกได้ว่าเดินทางครอบคลุมภาคอิสาณนั่งรถผ่านหลายจังหวัดกันทีเดียว



และทำให้แม่ต้อยระลึกถึง” โขงเจียม”
ขึ้นมาได้



จึงเป็นโอกาสดี ที่แม่ต้อยจะถือจังหวะนี้ไปเยี่ยมเยียนกันตามความตั้งใจที่คิดไว้ในห้องคลอดเมื่อยี่สิบกว่าปีโน้น



ในวันอาทิตย์ แม่ต้อยเข้าพักในจังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อเตรียมร่วมในงานแต่งงานช่วงเย็น   และมีช่วงว่างที่พอจะไปแวะเวียนตามที่ต่างๆได้ 



ในระหว่างการเดินทางแม่ต้อยเห็นท้องทุ่งนาสีเหลืองทอง
ตลอดเส้นทาง เห็นคนเก็บเกี่ยวข้าว จึงคิดอยากจะซื้อข้าวหอมใหม่ๆไปหุงกินเอง  คงจะอร่อยมากๆเลย



แม่ต้อจึง ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเดินที่ตลาดสด
ชาวบ้านเรียกว่าตลาดหนองบัวใกล้ๆโรงแรมที่พัก
เพื่อไปซื้อข้าวเหนี่ยวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ
ตั้งใจว่าจะลองไปนึ่งที่คอนโดในกรุงเทพฯ สักครั้ง อิอิ



“ ลองดูสัก กิโลก็พอแล้ว  “ คนที่ไปด้วยเริ่มทักท้วง  ไม่ทราบว่ากลัวจะได้กิน
หรือกลัวจะได้หิ้วก็ไม่ทราบ คำแนะนำเช่นนี้ มันกึ่งๆไม่ไว้ใจกันอย่างไร ชอบกล  ฟังดูไม่ค่อยเชิงบวก อิอิ



“ ซื้อข้าวแล้ว พี่ต้องไปซื้อหวด
และหม้อด้วยนะคะ หุงกับหม้อไฟฟ้าไม่ได้”



คนขายที่เห็นอาการลังเลของแม่ต้อยเมื่อได้รับข้อเสนอแนะ  และหันไปมองหน้าคนที่ทักท้วง เริ่มเข้าวงสนทนาด้วยทันที
พร้อมกับข้อเสนอแนะลำดับต่อมาติดๆ



“ อย่าลืมแช่ข้าวก่อนนะคะ สักสองชั่วโมง
หากนานกว่านี้ข้าวจะเหนียวมากเกินไป...พี่จะกินไม่ได้”



เป็นไง เป็นกัน แม่ต้อยคิดในใจ “ น้อง
หวด เขาขายที่ไหนคะ ฮ่าๆๆ”



 



ตกลงแม่ต้อยต้องไปซื้อหวด
และหม้อเพิ่มเติมอีก 
เรื่องข้าวเหนียวนึ่งเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ
ดั่งกระแสน้ำที่ไหลท่วมในขณะนี้นั่นและคะ



วันนั้น
แม่ต้อยจึงหอบข้าวสารจำนวนสองกิโล (มากกว่าข้อแนะนำ เพื่อแสดงจุดยืน อิอิ)
หวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว หม้อปากแคบ สำหรับใสน้ำนึ่งข้าว และกระติ้บ อิอิ



“ พี่จะเอาไปทำอะไร”
แม่ค้าอีกคนถามอีกแล้ว



“ อ๋อ พี่จะเปิดร้านขายส้มตำคะ “
แม่ต้อยแกล้งแหย่ สนุก  



เมื่อเสร็จเรื่องราวของข้าวเหนียว
แม่ต้อยจึงออกเดินทางไปที่อำเภอโขงเจียม โดยแวะที่ชายแดนบริเวณช่องเม็ก ด้วยคะ



ที่ช่องเม็ก มีร้านค้าเรียงราย แต่คนไม่ค่อยมาก
บรรยากาศไม่คึกคักดังเช่นชายแดนอื่นๆสักเท่าไหร่ ของที่ขายมีจำพวกเสื้อผ้า
เครื่องจักสานต่างๆ



“ ขายของไม่ค่อยดีค้า..”
คุณยายที่นั่งขายของจิปาถะเล่าให้แม่ต้อยฟังแบบปลงๆ



แม่ต้อยเดินเที่ยวสักครู่จึงออกเดินทางไปจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้



เส้นทางระหว่างอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปอำเภอโขงเจียมในช่วงนี้ดูอบอุ่น
จากสีเหลืองทองของทุ่งข้าวที่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว 
บางแห่งทุ่งนายังมีต้นข้าวออกรวงเต็มทุ่ง
สีเหลืองนวลของรวงข้าวเป็นประกายระยิบ  บางแห่ง
แม่ต้อยเห็นชาวนารวมกลุ่มกันเกี่ยวข้าว เก็บข้าวมาผึ่งแดด
หรือเทใส่ในเกวียนที่มารอรับอยู่ข้างๆ



พลันแม่ต้อยก็นึกถึงเพลงๆหนึ่งขี้น มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว



“ ทุ่งเอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ขาดน้อง ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย..”



ความรักของคนรุ่นก่อนๆ จะผูกพันกับวิถีชีวิต
กับธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกัน เพลงเกี้ยวพาราสีจึงหนีไม่พ้นวิถีชีวิต
และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา



เมื่อแม่ต้อยมาถึงโขงเจียม
แม่ต้อยบอกกับตัวเองในใจว่า เป็นเมืองที่น่ารัก สงบและ งดงามจริงๆ



โขงเจียม
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าค้นหาและไปเยี่ยมเยือน สิ่งแรกคือที่นี่ได้ชื่อว่า”
ดินแดนที่เห็นตะวันก่อนใครในสยาม “
หรืออาจจะเรียกว่าดินแดนอาทิตย์อุทัยของประเทศไทยก็น่าจะได้



บ้านเรือนผู้คนเป็นระเบียบ
สะอาดและน่าจะมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี จากที่มีตู้เอ ทีเอ็ม ธนาคาร
บ้านพักตากอากาศที่สวยๆ ร้านอาหารที่อร่อยๆ



ที่สำคัญคือที่นี่เป็นจุดที่เราสามารถเห็นแม่น้ำโขงเป็นสองสี
“ แม่น้ำสองสี”  สวยงามมากจริงๆคะ



แม่ต้อยและครอบครัวนั่งริมโขงสั่งอาหารสดๆจากแม่น้ำโขงมาลองกินแทบจะทุกเมนู
ค่อยๆซึมซับบรรยากาศที่ดี เข้าไว้ในความทรงจำ



“ ไปเที่ยวฝั่งโน้นไหมครับ?”
เสียงร้องเชิญชวนจากชายหนุ่มร่างกำยำท่าทางใจดี



“ เอาไว้วันหลังคะ “
ที่จริงแม่ต้อยเองก็อยากรู้ว่า ทางฝั่งโน้นจะมีอะไรบ้างเหมือนกัน..
แต่ว่าวันนี้เห็นที่จะไม่ทันเพราะต้องรีบกลับในอำเภอเมืองเพื่อไปดำเนินภารกิจที่รับปากไว้



 การมาเยี่ยมในครั้งนี้ จึงได้รับรู้ว่าเป็น”
โขงเจียม” ที่แสนจะมีเสน่ห์ และแสนดี



เมื่อได้นั่งที่ริมแม่น้ำโขง
ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และผู้คนใจดี แม่ต้อยอดที่จะคิดถึง
นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้นอีกครั้ง



ยี่สิบกว่าปีแล้ว ป่านนี้
นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้น คงจะเป็น อาจารย์แพทย์ เป็นผู้บริหารโรงพยาบาล
เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไปกันจนหมดแล้ว



มีสักคนไหมหนอ ? ที่ได้มาเยี่ยม”
โขงเจียม “



และหากได้มีโอกาสมาเยือน
คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆกับแม่ต้อยครั้งนี้แน่ๆ



ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง



“ โขงเจียม  ดินแดนเห็นตะวันก่อนใครในสยาม “



สวัสดีคะ



 



 



 



 



 



 



 



 



จำได้ว่าเมื่อแม่ต้อยไปรพ.เพื่อคลอดลูกชายคนเล็กเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา  อาจารย์แพทย์ที่ดูแลแม่ต้อยเป็นคนเก่งมาก
ท่านมีนักศึกษาแพทย์ที่มาเรียนรู้ โดยมีแม่ต้อยเป็นตัวอย่างการเรียนรู้ในครั้งนั้น
คงจะเป็นเพราะว่าแม่ต้อยท้องลูกคนที่สามในช่วงที่อายุค่อนข้างมากคือเกือบสี่สิบปี  จึงได้รับเกียรติให้เป็นตัวอย่างการเรียนรู้

          นักศึกษาแพทย์สองสามคนที่วนเวียนมาลูบๆคลำๆบริเวณหน้าท้องของแม่ต้อย
และต้องตอบคำถามอาจารย์แพทย์ท่านนั้นด้วย  แม่ต้อยไม่ได้ยินคำถามหรือคำตอบในช่วงนั้นเพราะอาการปวดท้องคลอดเริ่มกระชั้นถี่เรื่อยๆ

แต่ที่ได้ยินชัดเจนและจำได้
แม้ว่าจะผ่านมาแล้วยี่สิบสองปีก็คือ  เสียงอันเข้มงวดของอาจารย์แพทย์
ท่านนั้น หลังจากที่คงจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยจะถูกใจนัก

“ เดี๋ยวจะให้ไปอยู่ที่โขงเจียมเสียเลย”

แม้ว่าจะยังมีอาการปวดท้องเป็นระยะ
แต่แม่ต้อยก็แอบเห็นใจน้องๆนักศึกษาแพทย์เหล่านั้นจริงๆ

และชื่อ” โขงเจียม” จึงอยู่ในความทรงจำตั้งแต่วันนั้น
และตั้งใจว่าในวันหนึ่งจะมาเยี่ยมชมให้ได้

         เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในปีนี้ ๒๕๕๔ ลูกชายแม่ต้อยคนที่คลอดในวันนั้น บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้วแม่ต้อยจึงเพิ่งจะมีโอกาสมาตามความฝันเสียที

เป็นเพราะมหาอุทกภัยน้ำท่วมในปีนี้
นั่นเองที่ทำให้แม่ต้อยต้องออกจากบ้านและร่อนเร่ไปพักตามที่ต่างๆมานานนับเกือบเดือนแล้วเพราะที่บ้านน้ำท่วมถึงอกและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปได้
แม่ต้อยกะในใจว่าแม่ต้อยคงต้องร่อนเร่ไปทั่วประมาณเดือนมกราคม ๒๕๕๕
จึงน่าจะกลับเข้าไปอยู่ได้

ในช่วงลี้ภัยนี้ แม่ต้อยจึงจัดโปรแกรมทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด
และทำหน้าที่ต่างๆตามที่คนเชิญชวนให้ไปร่วมงาน เช่น งานแต่ง งานบวช

ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้แม่ต้อยมีงานในแถบจังหวัดกาฬสินธ์ คือที่รพ.ยางตลาด และในวันเสาร์ และ อาทิตย์
แม่ต้อยยังได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้ใหญ่ในพิธีแต่งงานที่นครราชสีมา
และที่อุบลราชธานี ติดต่อกันสองวันซ้อน เรียกได้ว่าเดินทางครอบคลุมภาคอิสาณนั่งรถผ่านหลายจังหวัดกันทีเดียวและทำให้แม่ต้อยระลึกถึง” โขงเจียม”
ขึ้นมาได้

จึงเป็นโอกาสดี ที่แม่ต้อยจะถือจังหวะนี้ไปเยี่ยมเยียนกันตามความตั้งใจที่คิดไว้ในห้องคลอดเมื่อยี่สิบกว่าปีโน้น

ในวันอาทิตย์ แม่ต้อยเข้าพักในจังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อเตรียมร่วมในงานแต่งงานช่วงเย็น   และมีช่วงว่างที่พอจะไปแวะเวียนตามที่ต่างๆได้ ในระหว่างการเดินทางแม่ต้อยเห็นท้องทุ่งนาสีเหลืองทอง
ตลอดเส้นทาง เห็นคนเก็บเกี่ยวข้าว จึงคิดอยากจะซื้อข้าวหอมใหม่ๆไปหุงกินเอง  คงจะอร่อยมากๆเลย

แม่ต้อยจึง ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเดินที่ตลาดสดชาวบ้านเรียกว่าตลาดหนองบัวใกล้ๆโรงแรมที่พักเพื่อไปซื้อข้าวเหนียวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆตั้งใจว่าจะลองไปนึ่งที่คอนโดในกรุงเทพฯ สักครั้ง อิอิ

“ ลองดูสัก กิโลก็พอแล้ว  “ คนที่ไปด้วยเริ่มทักท้วง  ไม่ทราบว่ากลัวจะได้กิน
หรือกลัวจะได้หิ้วก็ไม่ทราบ คำแนะนำเช่นนี้ มันกึ่งๆไม่ไว้ใจกันอย่างไร ชอบกล  ฟังดูไม่ค่อยเชิงบวกสักเท่าไหร่ แฮ่ 

“ ซื้อข้าวแล้ว พี่ต้องไปซื้อหวด
และหม้อด้วยนะคะ หุงกับหม้อไฟฟ้าไม่ได้”

คนขายที่เห็นอาการลังเลของแม่ต้อยเมื่อได้รับข้อเสนอแนะ  และหันไปมองหน้าคนที่ทักท้วง เริ่มเข้าวงสนทนาด้วยการขู่สำทับ ทันที
พร้อมกับข้อเสนอแนะลำดับต่อมาติดๆ

“ อย่าลืมแช่ข้าวก่อนนะคะ สักสองชั่วโมง
หากนานกว่านี้ข้าวจะเหนียวมากเกินไป...พี่จะกินไม่ได้”

เอาละวา เป็นไง เป็นกัน แม่ต้อยคิดในใจ “ น้องหวด เขาขายที่ไหนคะ  พี่จะไปซื้อ”

ตกลงแม่ต้อยต้องไปซื้อหวดและหม้อเพิ่มเติมอีก เรื่องข้าวเหนียวนึ่งเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆดั่งกระแสน้ำที่ไหลท่วมในขณะนี้นั่นและคะ

วันนั้นแม่ต้อยจึงหอบข้าวสารจำนวนสองกิโล (มากกว่าข้อแนะนำ เพื่อแสดงจุดยืน อิอิ)หวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว หม้อปากแคบ สำหรับใสน้ำนึ่งข้าว และกระติ้บ อิอิ

“ พี่จะเอาไปทำอะไร”
แม่ค้าอีกคนถามอีกแล้ว“ อ๋อ พี่จะเปิดร้านขายส้มตำคะ “
แม่ต้อยแกล้งแหย่ สนุก สนานไปตามเรื่อง 

 

เมื่อเสร็จเรื่องราวของข้าวเหนียว
แม่ต้อยจึงออกเดินทางไปที่อำเภอโขงเจียม โดยแวะที่ชายแดนบริเวณช่องเม็ก ด้วยคะ

ที่ช่องเม็ก มีร้านค้าเรียงราย แต่คนไม่ค่อยมาก
บรรยากาศไม่คึกคักดังเช่นชายแดนอื่นๆสักเท่าไหร่ ของที่ขายมีจำพวกเสื้อผ้า
เครื่องจักสานต่างๆ

“ ขายของไม่ค่อยดีค้า..”
คุณยายที่นั่งขายของจิปาถะเล่าให้แม่ต้อยฟังแบบปลงๆ

แม่ต้อยเดินเที่ยวสักครู่จึงออกเดินทางไปจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้

เส้นทางระหว่างอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปอำเภอโขงเจียมในช่วงนี้ดูอบอุ่น
จากสีเหลืองทองของทุ่งข้าวที่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว บางแห่งทุ่งนายังมีต้นข้าวออกรวงเต็มทุ่ง สีเหลืองนวลของรวงข้าวเป็นประกายระยิบ  บางแห่ง
แม่ต้อยเห็นชาวนารวมกลุ่มกันเกี่ยวข้าว เก็บข้าวมาผึ่งแดด หรือเทใส่ในเกวียนที่มารอรับอยู่ข้างๆ

พลันแม่ต้อยก็นึกถึงเพลงๆหนึ่งขี้น มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ ทุ่งเอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ขาดน้อง ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย..” ใครเคยได้ยินไหมคะเพลงนี้ เก่ามากๆ

ความรักของคนรุ่นก่อนๆ จะผูกพันกับวิถีชีวิต
กับธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกัน เพลงเกี้ยวพาราสีจึงหนีไม่พ้นวิถีชีวิต
และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา

เมื่อแม่ต้อยมาถึงโขงเจียม
แม่ต้อยบอกกับตัวเองในใจว่า เป็นเมืองที่น่ารัก สงบและ งดงามจริงๆโขงเจียม
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าค้นหาและไปเยี่ยมเยือน สิ่งแรกคือที่นี่ได้ชื่อว่า”
ดินแดนที่เห็นตะวันก่อนใครในสยาม “
หรืออาจจะเรียกว่าดินแดนอาทิตย์อุทัยของประเทศไทยก็น่าจะได้

บ้านเรือนผู้คนเป็นระเบียบ
สะอาดและน่าจะมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี จากที่มีตู้เอ ทีเอ็ม ธนาคาร
บ้านพักตากอากาศที่สวยๆ ร้านอาหารที่อร่อยๆ

ที่สำคัญคือที่นี่เป็นจุดที่เราสามารถเห็นแม่น้ำโขงเป็นสองสี
“ แม่น้ำสองสี”  สวยงามมากจริงๆคะ

แม่ต้อยและครอบครัวนั่งริมโขงสั่งอาหารสดๆจากแม่น้ำโขงมาลองกินแทบจะทุกเมนู
ค่อยๆซึมซับบรรยากาศที่ดี เข้าไว้ในความทรงจำ

“ ไปเที่ยวฝั่งโน้นไหมครับ?”
เสียงร้องเชิญชวนจากชายหนุ่มร่างกำยำท่าทางใจดี

“ เอาไว้วันหลังคะ “
ที่จริงแม่ต้อยเองก็อยากรู้ว่า ทางฝั่งโน้นจะมีอะไรบ้างเหมือนกัน..
แต่ว่าวันนี้เห็นที่จะไม่ทันเพราะต้องรีบกลับในอำเภอเมืองเพื่อไปดำเนินภารกิจที่รับปากไว้

การมาเยี่ยมในครั้งนี้ จึงได้รับรู้ว่าเป็น”โขงเจียม” ที่แสนจะมีเสน่ห์ และแสนดี

เมื่อได้นั่งที่ริมแม่น้ำโขงท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และผู้คนใจดี แม่ต้อยอดที่จะคิดถึง นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้นอีกครั้ง

ยี่สิบกว่าปีแล้ว ป่านนี้นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้น คงจะเป็น อาจารย์แพทย์ เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไปกันจนหมดแล้ว

จะมีสักคนไหมหนอ ? ที่ได้มาเยี่ยม”โขงเจียม “ ตามที่ท่านอาจารย์ในสมัยนั้นได้พุดไว้

และหากได้มีโอกาสมาเยือน
คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆกับแม่ต้อยครั้งนี้แน่นอน จนตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง

“ โขงเจียม  ดินแดนเห็นตะวันก่อนใครในสยาม “

สวัสดีคะ



 



 



 



 



 



 



 



 



จำได้ว่าเมื่อแม่ต้อยไปรพ.เพื่อคลอดลูกชายคนเล็กเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา  อาจารย์แพทย์ที่ดูแลแม่ต้อยเป็นคนเก่งมาก
ท่านมีนักศึกษาแพทย์ที่มาเรียนรู้ โดยมีแม่ต้อยเป็นตัวอย่างการเรียนรู้ในครั้งนั้น
คงจะเป็นเพราะว่าแม่ต้อยท้องลูกคนที่สามในช่วงที่อายุค่อนข้างมากคือเกือบสี่สิบปี  จึงได้รับเกียรติให้เป็นตัวอย่างการเรียนรู้



          นักศึกษาแพทย์สองสามคนที่วนเวียนมาลูบๆคลำๆบริเวณหน้าท้องของแม่ต้อย
และต้องตอบคำถามอาจารย์แพทย์ท่านนั้นด้วย  แม่ต้อยไม่ได้ยินคำถามหรือคำตอบในช่วงนั้นเพราะอาการปวดท้องคลอดเริ่มกระชั้นถี่เรื่อยๆ



แต่ที่ได้ยินชัดเจนและจำได้
แม้ว่าจะผ่านมาแล้วยี่สิบสองปีก็คือ  เสียงอันเข้มงวดของอาจารย์แพทย์
ท่านนั้น หลังจากที่คงจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยจะถูกใจนัก



“ เดี๋ยวจะให้ไปอยู่ที่โขงเจียมเสียเลย”



แม้ว่าจะยังมีอาการปวดท้องเป็นระยะ
แต่แม่ต้อยก็แอบเห็นใจน้องๆนักศึกษาแพทย์เหล่านั้นจริงๆ



และชื่อ” โขงเจียม” จึงอยู่ในความทรงจำตั้งแต่วันนั้น
และตั้งใจว่าในวันหนึ่งจะมาเยี่ยมชมให้ได้



          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในปีนี้ ๒๕๕๔ ลูกชายแม่ต้อยคนที่คลอดในวันนั้น บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว
แม่ต้อยจึงเพิ่งจะมีโอกาสมาตามความฝันเสียที



เป็นเพราะมหาอุทกภัยน้ำท่วมในปีนี้
นั่นเองที่ทำให้แม่ต้อยต้องออกจากบ้านและร่อนเร่ไปพักตามที่ต่างๆมานานนับเกือบเดือนแล้ว
เพราะที่บ้านน้ำท่วมถึงอกและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปได้
แม่ต้อยกะในใจว่าแม่ต้อยคงต้องร่อนเร่ไปทั่วประมาณเดือนมกราคม ๒๕๕๕
จึงน่าจะกลับเข้าไปอยู่ได้



 



ในช่วงลี้ภัยนี้ แม่ต้อยจึงจัดโปรแกรมทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด
และทำหน้าที่ต่างๆตามที่คนเชิญชวนให้ไปร่วมงาน เช่น งานแต่ง งานบวช



ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
แม่ต้อยมีงานในแถบจังหวัดกาฬสินธ์ คือที่รพ.ยางตลาด และในวันเสาร์ และ อาทิตย์
แม่ต้อยยังได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้ใหญ่ในพิธีแต่งงานที่นครราชสีมา
และที่อุบลราชธานี ติดต่อกันสองวันซ้อน เรียกได้ว่าเดินทางครอบคลุมภาคอิสาณนั่งรถผ่านหลายจังหวัดกันทีเดียว



และทำให้แม่ต้อยระลึกถึง” โขงเจียม”
ขึ้นมาได้



จึงเป็นโอกาสดี ที่แม่ต้อยจะถือจังหวะนี้ไปเยี่ยมเยียนกันตามความตั้งใจที่คิดไว้ในห้องคลอดเมื่อยี่สิบกว่าปีโน้น



ในวันอาทิตย์ แม่ต้อยเข้าพักในจังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อเตรียมร่วมในงานแต่งงานช่วงเย็น   และมีช่วงว่างที่พอจะไปแวะเวียนตามที่ต่างๆได้ 



ในระหว่างการเดินทางแม่ต้อยเห็นท้องทุ่งนาสีเหลืองทอง
ตลอดเส้นทาง เห็นคนเก็บเกี่ยวข้าว จึงคิดอยากจะซื้อข้าวหอมใหม่ๆไปหุงกินเอง  คงจะอร่อยมากๆเลย



แม่ต้อจึง ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเดินที่ตลาดสด
ชาวบ้านเรียกว่าตลาดหนองบัวใกล้ๆโรงแรมที่พัก
เพื่อไปซื้อข้าวเหนี่ยวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ
ตั้งใจว่าจะลองไปนึ่งที่คอนโดในกรุงเทพฯ สักครั้ง อิอิ



“ ลองดูสัก กิโลก็พอแล้ว  “ คนที่ไปด้วยเริ่มทักท้วง  ไม่ทราบว่ากลัวจะได้กิน
หรือกลัวจะได้หิ้วก็ไม่ทราบ คำแนะนำเช่นนี้ มันกึ่งๆไม่ไว้ใจกันอย่างไร ชอบกล  ฟังดูไม่ค่อยเชิงบวก อิอิ



“ ซื้อข้าวแล้ว พี่ต้องไปซื้อหวด
และหม้อด้วยนะคะ หุงกับหม้อไฟฟ้าไม่ได้”



คนขายที่เห็นอาการลังเลของแม่ต้อยเมื่อได้รับข้อเสนอแนะ  และหันไปมองหน้าคนที่ทักท้วง เริ่มเข้าวงสนทนาด้วยทันที
พร้อมกับข้อเสนอแนะลำดับต่อมาติดๆ



“ อย่าลืมแช่ข้าวก่อนนะคะ สักสองชั่วโมง
หากนานกว่านี้ข้าวจะเหนียวมากเกินไป...พี่จะกินไม่ได้”



เป็นไง เป็นกัน แม่ต้อยคิดในใจ “ น้อง
หวด เขาขายที่ไหนคะ ฮ่าๆๆ”



 



ตกลงแม่ต้อยต้องไปซื้อหวด
และหม้อเพิ่มเติมอีก 
เรื่องข้าวเหนียวนึ่งเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ
ดั่งกระแสน้ำที่ไหลท่วมในขณะนี้นั่นและคะ



วันนั้น
แม่ต้อยจึงหอบข้าวสารจำนวนสองกิโล (มากกว่าข้อแนะนำ เพื่อแสดงจุดยืน อิอิ)
หวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว หม้อปากแคบ สำหรับใสน้ำนึ่งข้าว และกระติ้บ อิอิ



“ พี่จะเอาไปทำอะไร”
แม่ค้าอีกคนถามอีกแล้ว



“ อ๋อ พี่จะเปิดร้านขายส้มตำคะ “
แม่ต้อยแกล้งแหย่ สนุก  



เมื่อเสร็จเรื่องราวของข้าวเหนียว
แม่ต้อยจึงออกเดินทางไปที่อำเภอโขงเจียม โดยแวะที่ชายแดนบริเวณช่องเม็ก ด้วยคะ



ที่ช่องเม็ก มีร้านค้าเรียงราย แต่คนไม่ค่อยมาก
บรรยากาศไม่คึกคักดังเช่นชายแดนอื่นๆสักเท่าไหร่ ของที่ขายมีจำพวกเสื้อผ้า
เครื่องจักสานต่างๆ



“ ขายของไม่ค่อยดีค้า..”
คุณยายที่นั่งขายของจิปาถะเล่าให้แม่ต้อยฟังแบบปลงๆ



แม่ต้อยเดินเที่ยวสักครู่จึงออกเดินทางไปจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้



เส้นทางระหว่างอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปอำเภอโขงเจียมในช่วงนี้ดูอบอุ่น
จากสีเหลืองทองของทุ่งข้าวที่ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว 
บางแห่งทุ่งนายังมีต้นข้าวออกรวงเต็มทุ่ง
สีเหลืองนวลของรวงข้าวเป็นประกายระยิบ  บางแห่ง
แม่ต้อยเห็นชาวนารวมกลุ่มกันเกี่ยวข้าว เก็บข้าวมาผึ่งแดด
หรือเทใส่ในเกวียนที่มารอรับอยู่ข้างๆ



พลันแม่ต้อยก็นึกถึงเพลงๆหนึ่งขี้น มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว



“ ทุ่งเอ๋ย ทุ่งรวงทอง
แม้นหากขาดพี่ขาดน้อง ทุ่งรวงทองก็หมดความหมาย..”



ความรักของคนรุ่นก่อนๆ จะผูกพันกับวิถีชีวิต
กับธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกัน เพลงเกี้ยวพาราสีจึงหนีไม่พ้นวิถีชีวิต
และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา



เมื่อแม่ต้อยมาถึงโขงเจียม
แม่ต้อยบอกกับตัวเองในใจว่า เป็นเมืองที่น่ารัก สงบและ งดงามจริงๆ



โขงเจียม
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าค้นหาและไปเยี่ยมเยือน สิ่งแรกคือที่นี่ได้ชื่อว่า”
ดินแดนที่เห็นตะวันก่อนใครในสยาม “
หรืออาจจะเรียกว่าดินแดนอาทิตย์อุทัยของประเทศไทยก็น่าจะได้



บ้านเรือนผู้คนเป็นระเบียบ
สะอาดและน่าจะมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี จากที่มีตู้เอ ทีเอ็ม ธนาคาร
บ้านพักตากอากาศที่สวยๆ ร้านอาหารที่อร่อยๆ



ที่สำคัญคือที่นี่เป็นจุดที่เราสามารถเห็นแม่น้ำโขงเป็นสองสี
“ แม่น้ำสองสี”  สวยงามมากจริงๆคะ



แม่ต้อยและครอบครัวนั่งริมโขงสั่งอาหารสดๆจากแม่น้ำโขงมาลองกินแทบจะทุกเมนู
ค่อยๆซึมซับบรรยากาศที่ดี เข้าไว้ในความทรงจำ



“ ไปเที่ยวฝั่งโน้นไหมครับ?”
เสียงร้องเชิญชวนจากชายหนุ่มร่างกำยำท่าทางใจดี



“ เอาไว้วันหลังคะ “
ที่จริงแม่ต้อยเองก็อยากรู้ว่า ทางฝั่งโน้นจะมีอะไรบ้างเหมือนกัน..
แต่ว่าวันนี้เห็นที่จะไม่ทันเพราะต้องรีบกลับในอำเภอเมืองเพื่อไปดำเนินภารกิจที่รับปากไว้



 การมาเยี่ยมในครั้งนี้ จึงได้รับรู้ว่าเป็น”
โขงเจียม” ที่แสนจะมีเสน่ห์ และแสนดี



เมื่อได้นั่งที่ริมแม่น้ำโขง
ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และผู้คนใจดี แม่ต้อยอดที่จะคิดถึง
นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้นอีกครั้ง



ยี่สิบกว่าปีแล้ว ป่านนี้
นักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้น คงจะเป็น อาจารย์แพทย์ เป็นผู้บริหารโรงพยาบาล
เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไปกันจนหมดแล้ว



มีสักคนไหมหนอ ? ที่ได้มาเยี่ยม”
โขงเจียม “



และหากได้มีโอกาสมาเยือน
คงจะมีความรู้สึกคล้ายๆกับแม่ต้อยครั้งนี้แน่ๆ



ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง



“ โขงเจียม  ดินแดนเห็นตะวันก่อนใครในสยาม “



สวัสดีคะ



 



 





จำได้ว่าเมื่อแม่ต้อยไปรพ.เพื่อคลอดลูกชายคนเล็กเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา  อาจารย์แพทย์ที่ดูแลแม่ต้อยเป็นคนเก่งมาก
ท่านมีนักศึกษาแพทย์ที่มาเรียนรู้ โดยมีแม่ต้อยเป็นตัวอย่างการเรียนรู้ในครั้งนั้น
คงจะเป็นเพราะว่าแม่ต้อยท้องลูกคนที่สามในช่วงที่อายุค่อนข้างมากคือเกือบสี่สิบปี  จึงได้รับเกียรติให้เป็นตัวอย่างการเรียนรู้



          นักศึกษาแพทย์สองสามคนที่วนเวียนมาลูบๆคลำๆบริเวณหน้าท้องของแม่ต้อย
และต้องตอบคำถามอาจารย์แพทย์ท่านนั้นด้วย  แม่ต้อยไม่ได้ยินคำถามหรือคำตอบในช่วงนั้นเพราะอาการปวดท้องคลอดเริ่มกระชั้นถี่เรื่อยๆ



แต่ที่ได้ยินชัดเจนและจำได้
แม้ว่าจะผ่านมาแล้วยี่สิบสองปีก็คือ  เสียงอันเข้มงวดของอาจารย์แพทย์
ท่านนั้น หลังจากที่คงจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยจะถูกใจนัก



“ เดี๋ยวจะให้ไปอยู่ที่โขงเจียมเสียเลย”



แม้ว่าจะยังมีอาการปวดท้องเป็นระยะ
แต่แม่ต้อยก็แอบเห็นใจน้องๆนักศึกษาแพทย์เหล่านั้นจริงๆ



และชื่อ” โขงเจียม” จึงอยู่ในความทรงจำตั้งแต่วันนั้น
และตั้งใจว่าในวันหนึ่งจะมาเยี่ยมชมให้ได้



          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในปีนี้ ๒๕๕๔ ลูกชายแม่ต้อยคนที่คลอดในวันนั้น บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว
แม่ต้อยจึงเพิ่งจะมีโอกาสมาตามความฝันเสียที



เป็นเพราะมหาอุทกภัยน้ำท่วมในปีนี้
นั่นเองที่ทำให้แม่ต้อยต้องออกจากบ้านและร่อนเร่ไปพักตามที่ต่างๆมานานนับเกือบเดือนแล้ว
เพราะที่บ้านน้ำท่วมถึงอกและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปได้
แม่ต้อยกะในใจว่าแม่ต้อยคงต้องร่อนเร่ไปทั่วประมาณเดือนมกราคม ๒๕๕๕
จึงน่าจะกลับเข้าไปอยู่ได้



 



ในช่วงลี้ภัยนี้ แม่ต้อยจึงจัดโปรแกรมทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด
และทำหน้าที่ต่างๆตามที่คนเชิญชวนให้ไปร่วมงาน เช่น งานแต่ง งานบวช



ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
แม่ต้อยมีงานในแถบจังหวัดกาฬสินธ์ คือที่รพ.ยางตลาด และในวันเสาร์ และ อาทิตย์
แม่ต้อยยังได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้ใหญ่ในพิธีแต่งงานที่นครราชสีมา
และที่อุบลราชธานี ติดต่อกันสองวันซ้อน เรียกได้ว่าเดินทางครอบคลุมภาคอิสาณนั่งรถผ่านหลายจังหวัดกันทีเดียว



และทำให้แม่ต้อยระลึกถึง” โขงเจียม”
ขึ้นมาได้



จึงเป็นโอกาสดี ที่แม่ต้อยจะถือจังหวะนี้ไปเยี่ยมเยียนกันตามความตั้งใจที่คิดไว้ในห้องคลอดเมื่อยี่สิบกว่าปีโน้น



ในวันอาทิตย์ แม่ต้อยเข้าพักในจังหวัดอุบลราชธานี
เพื่อเตรียมร่วมในงานแต่งงานช่วงเย็น   และมีช่วงว่างที่พอจะไปแวะเวียนตามที่ต่างๆได้ 



ในระหว่างการเดินทางแม่ต้อยเห็นท้องทุ่งนาสีเหลืองทอง
ตลอดเส้นทาง เห็นคนเก็บเกี่ยวข้าว จึงคิดอยากจะซื้อข้าวหอมใหม่ๆไปหุงกินเอง  คงจะอร่อยมากๆเลย



แม่ต้อจึง ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเดินที่ตลาดสด
ชาวบ้านเรียกว่าตลาดหนองบัวใกล้ๆโรงแรมที่พัก
เพื่อไปซื้อข้าวเหนี่ยวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ๆ
ตั้งใจว่าจะลองไปนึ่งที่คอนโดในกรุงเทพฯ สักครั้ง อิอิ



“ ลองดูสัก กิโลก็พอแล้ว  “ คนที่ไปด้วยเริ่มทักท้วง  ไม่ทราบว่ากลัวจะได้กิน
หรือกลัวจะได้หิ้วก็ไม่ทราบ คำแนะนำเช่นนี้ มันกึ่งๆไม่ไว้ใจกันอย่างไร ชอบกล  ฟังดูไม่ค่อยเชิงบวก อิอิ



“ ซื้อข้าวแล้ว พี่ต้องไปซื้อหวด
และหม้อด้วยนะคะ หุงกับหม้อไฟฟ้าไม่ได้”



คนขายที่เห็นอาการลังเลของแม่ต้อยเมื่อได้รับข้อเสนอแนะ  และหันไปมองหน้าคนที่ทักท้วง เริ่มเข้าวงสนทนาด้วยทันที
พร้อมกับข้อเสนอแนะลำดับต่อมาติดๆ



“ อย่าลืมแช่ข้าวก่อนนะคะ สักสองชั่วโมง
หากนานกว่านี้ข้าวจะเหนียวมากเกินไป...พี่จะกินไม่ได้”



เป็นไง เป็นกัน แม่ต้อยคิดในใจ “ น้อง
หวด เขาขายที่ไหนคะ ฮ่าๆๆ”



 



ตกลงแม่ต้อยต้องไปซื้อหวด
และหม้อเพิ่มเติมอีก 
เรื่องข้าวเหนียวนึ่งเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ
ดั่งกระแสน้ำที่ไหลท่วมในขณะนี้นั่นและคะ



วันนั้น
แม่ต้อยจึงหอบข้าวสารจำนวนสองกิโล (มากกว่าข้อแนะนำ เพื่อแสดงจุดยืน อิอิ)
หวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว หม้อปากแคบ สำหรับใสน้ำนึ่งข้าว และกระติ้บ อิอิ



“ พี่จะเอาไปทำอะไร”
แม่ค้าอีกคนถามอีกแล้ว



“ อ๋อ พี่จะเปิดร้านขายส้มตำคะ “
แม่ต้อยแกล้งแหย่ สนุก  



เมื่อเสร็จเรื่องราวของข้าวเหนียว
แม่ต้อยจึงออกเดินทางไปที่อำเภอโขงเจียม โดยแวะที่ชายแดนบริเวณช่องเม็ก ด้วยคะ



ที่ช่องเม็ก มีร้านค้าเรียงราย แต่คนไม่ค่อยมาก
บรรยากาศไม่คึกคักดังเช่นชายแดนอื่นๆสักเท่าไหร่ ของที่ขายมีจำพวก

คำสำคัญ (Tags): #โขงเจียม
หมายเลขบันทึก: 468338เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2011 22:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 22:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เมืองไทย ทุกตารางนิ้ว ยังน่าเที่ยว และอบอุ่นเสมอ

กลับบ้านครานี้ผ่านแก่งคอยไหมนอ หากผ่านมาแวะรับความคิดถึงไปนะด้วยนะคะ

  • เข้ามาอ่านบันทึกที่น่ารักค่ะ เห็นภาพความอบอุ่นในครอบครัว และรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและการมีจิตใจดีงามของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี 
  • อ่านแล้วมีความสุขไปด้วย เป็นการหนีน้ำระยะยาวที่ได้ทั้งงานในหน้าที่ ภารกิจทางสังคม และการท่องเที่ยวนะคะ สมบูรณ์แบบจริงๆ ค่ะ ถ้ามีภาพประกอบคงได้อรรถรสมากขึ้นนะคะ
  • ดีใจค่ะที่ "โขงเจียม" เป็นแรงบันดาลใจที่ยาวนานให้ "แม่ต้อย" กลับมาเที่ยว และทำให้แม่ต้อยประทับใจ คงต้องขอบคุณลูกชายที่คลอดในวันนั้นด้วยนะคะ ที่มีส่วนทำให้ "โขงเจียม" ได้มีโอกาสต้อนรับการมาเยือนของแม่ต้อย
  • ดิฉันเองก็ไปตลาดหนองบัวและเคยมีประสบการณ์ซื้อข้าวสารเหนียว หม้อนึ่ง หวด และกระติบ ที่ตลาดนี้ แต่แม่ค้าบอกวิธียุ่งยากให้นะคะ จริงๆ แล้วข้าวเหนียวสามารถหุงในหม้อหุงข้าวได้แบบข้าวเจ้า ไม่ต้องแช่ด้วย แต่ยากกว่านึ่ง เพราะถ้าเติมน้ำมากไปก็จะแฉะ เคยลองหุงตอนแก๊สหมดค่ะ และพอเห็นว่า OK ก็ได้หุงอีกตอนที่ไม่มีเวลาแช่ข้าวค่ะ
  • "เพลงทุ่งรวงทอง" เป็นเพลงที่ชอบมากค่ะตอนที่เรียน ป.กศ.ที่วิทยาลัยครูอุบลปี 2510-2511 ร้องกันประจำ
  • เป็นอีกบันทึกที่เป็นหนึ่งในความดีงามบนความหายนะ จึงขอเชิญเข้าไปอ่านบันทึกเรื่อง "น้ำท่วม...กับความดีงามบนความหายนะ" ท่นี่  http://www.gotoknow.org/blogs/posts/467594 ด้วยนะคะ
  • ขอบคุณมากค่ะ ที่ทำให้มีความสุข ก่อนเตรียมตัวไปทำงานในวันนี้
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท