กรณีศึกษา การพัฒนาผู้นำ มองโลกแบบวิกรมด้วยทุนแห่งความสุข
นางวาสนา รังสร้อย
นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต
สาขาวิชา นวัตกรรมการบริหารจัดการการศึกษา
จากมงคลชีวิต 38 ประการที่ถือว่าเป็นธรรมะที่เปิดทางให้แสงสว่างไปยังเป้าหมายชีวิตของการเกิด การมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้กล่าวว่า เกิดมาเป็นคนไม่ใช่เพียงแค่ศึกษาหาความรู้สูง ๆ เพื่อให้มีสติปัญญาที่จะทำมาหากินได้สะดวกสบายเท่านั้นยังไม่พอ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะหาความสุขได้ เพราะความรู้ที่เกิดจาการเรียนรู้เป็นสิ่งที่นำไปเลี้ยงส่วนที่เป็นร่างกายเท่านั้น เนื่องจากคนเรามีส่วนสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ กายและใจ เมื่อร่างกายหิว ก็ต้องการอาหารเพื่อให้พ้นจากโรค คือ ความหิว และทำให้ร่างกายแข็งแรง เจริญเติบโต ใจก็เช่นเดียวกัน ต้องการอาหารคือ ธรรมะ มาหล่อเลี้ยงเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง และเพื่อยกระดับจิตใจของคนเราให้สูงขึ้น ก็จะได้พบกับ ความสุข เป็นกุญแจไขความลับของชีวิตอย่างมีสติ ซึ่งมันกลายเป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเราเอง เป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ ไม่มีขายในท้องตลาด อยากได้ก็ต้องทำเอง
และในสมัยก่อนนั้นเรายังไม่รู้จักเรื่องสมดุลงานกับชีวิต จึงได้ทำระบบต่าง ๆ ขึ้นมาเช่น กิจกรรม 5 ส TQM TPM ISO KPI/BSC HA GMP ฯลฯ เป็นต้น การทำระบบดังกล่าวเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจพนักงาน ทำแบบหลอกตนเอง หลอกลูกค้า และหลอกผู้ตรวจการประเมิน คนตรวจประเมินก็ตรวจแบบงานได้ผล คนเสียหาย ทำลายความรู้สึกผูกพัน รู้สึกเครียดกับการทำงาน คนรอบข้างจะไม่มีความสุข แต่ถ้ามีส่วนร่วม(Engagement) และความเป็นเจ้าของของพนักงาน ดังนั้นในรูปแบบ HR แล้วต้องพัฒนาให้ทุกระบบเป็นแบบ Play + Learn คือเพลิน ๆ ถือว่าทุกระบบเป็นการเรียนรู้ มีการแลกเปลียนเรียนรู้ การตรวจการประเมิน (Audit) สบาย เป็นการสร้างบรรยากาศ ส่งเสริมการเรียนรู้ทุกฝ่ายในองค์กร เพื่อให้ทุกคนในองค์กรรุ้สึกว่าเป็นเรื่องสนุก ได้เกิดการเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วม และสิ่งที่ตามมาคือความสุข
ซึ่งสอดคล้องกับ “เทคนิคการทำงานอย่างมีความสุข”ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ว่า “ชีวิตของเราทำงานมาก ตั้งแต่อายุ 22-60 ปี เราอยู่ที่ทำงานมากกว่ามาก เราจะทำงานให้มีความสุขได้อย่างไร การมีความรับผิดชอบมากทำให้มีความเครียดมาก ก็ต้องมีเทคนิคที่ทำไม่ให้เครียด คนรอบข้างจะได้มีความสุข และประเทศไทยควรมี Happiness Capital Institute ประเทศไทยควรเปลี่ยน entertainment เป็นมูลค่าเพิ่ม ธรรมชาติของโลกให้โอกาสด้านความสุขแก่คน แต่ขึ้นอยู่กับว่าควรจะใช้มันอย่างไร แต่คนเก่งมักไม่มีความสุขในการทำงาน ถ้าความสุขในการทำงานตก productivity ก็จะตก ประโยชน์ของการมีความสุขก็คือ การที่มีความเครียดน้อย จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีสุขภาพดี การที่อาจารย์มีความสุขเท่ากับสร้างโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วม ทำให้ทุนทางความสุขกระจายออกไป”ในการสร้างบรรยากาศการทำงาน ให้คนมีความสุขในการทำงาน ความสุขเป็นรากฐานไปสู่ความเป็นเลิศ ความสุข อยู่ที่เป้าหมายของการทำงาน และสิ่งสำคัญควรนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสร้างความสุข ควรคิดในแง่บวก อย่าคาดหวังอะไรที่สูงเกินไป อย่าคิดว่างานเป็นแค่ job หรือ career แต่ต้องคิดว่าเป็น calling (สิ่งที่เราปรารถนา) จะทำให้ทำงานอย่างมีความสุขมากกว่า
เมื่อได้ทราบถึงเทคนิคการทำงานอย่างมีความสุขของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ทำให้ดิฉันได้นึกถึงและประทับใจ วิธีการบริหารคนของ วิกรม กรมดิษฐ์ ที่มีวิธีการบริหารคน บริหารชีวิตที่น่าสนใจมากที่สุดในเมืองไทยคนหนึ่งเขาเป็นเจ้าของบริษัท อมตะ คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับโลกและในเมืองไทย ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งจากนักธุรกิจจำนวนมากที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังข้ามชั้นไปถึงระดับที่สูงกว่าเขาในเวลาไม่กี่ปี
เขาเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ ความคิดดีๆ
ทั้งต่อตนเองและต่อสังคมต่อประเทศชาติ
หนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนขึ้นมา
ความคิดที่ผ่านการพูดในรายการต่างๆ ที่รับเชิญ
โดยมีคนรุ่นใหม่สนใจที่จะฟังและคิดตามมากที่สุด
คนหนึ่งในเมืองไทยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีอีกมากมายที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตภายใต้การแข่งขันสูงในระบบทุนนิยมสุดขั้วในปัจจุบันที่ยากจะปฏิเสธได้
“วิกรม กรมดิษฐ์ ต้องถือว่าเป็นตำราชีวิตที่มหาวิทยาลัยโลกนี้ไม่มีสอนแน่นอน” วิกรม มีวิถีชีวิตของตนเองที่กำหนดขึ้น โดยเขาเปรียบช่วงชีวิตของมนุษย์ว่าเป็นเหมือนผีเสื้อ เขากล่าวว่า พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ “ถ้าเราแบ่งชีวิตเป็นสามช่วง ช่วงแรกสร้างเศรษฐกิจ เหมือนหนอนเกิดมาตอนแรกก็เอาแต่กิน พอครบสี่รอบ เราก็ควรเริ่มสงบเหมือนดักแด้ อย่างผมก็จะเอาแต่นึกฝันและเขียนหนังสือ ผมเขียนวันละสิบชั่วโมงขึ้นไป เขียนอยู่ 10 วันใน 2 สัปดาห์ พอเป็นดักแด้เสร็จสุดท้ายยก็เป็นผีเสื้อ คือลอยละลิ่วไม่ผูกติดกับอะไรอีกแล้ว”
แต่ก่อนจะปล่อยวางเพื่อจะเป็นผีเสื้อได้ วิกรมเคยเป็นมดงานที่ทำงานหนักมากมาก่อน เขาไต่เต้าขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วค่อยคืนสู่ชีวิตความเรียบง่าย แต่ทว่ากำกับด้วยสติและสมาธิอยู่ในทุกข์ช่วงขณะ
ทุกวันนี้คุณวิกรมใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่บนแพวิเวก ติดอุทธยานเขาใหญ่เป็นส่วนใหญ่ ในเวลา 2 สัปดาห์เขาจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ประมาณ 1-2 วัน เพื่อประชุมกับทีมบริหารของอมตะ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือผู้บริหารงานด้านนิคมและกลุ่มพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ โดยเรียกเฉพาะผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามความคืบหน้าของงาน ช่วยแก้ปัญหา วางแผน วางเป้าหมาย ให้คำแนะนำ ฯลฯ ที่เขามักพูดเล่นๆเสมอว่า “...วันนี้จริงๆผมไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เป็นคนกำหนดเป้า วางนโยบาย สร้างแรงจูงใจ และคอยบีบพวกพนักงานอีกนิดๆหน่อยๆ...” เขามีมุมมองในการทำงานที่แตกต่างกว่า ซีอีโอคนอื่นที่อาจจะต้องตามจี้ ตามเช็คทุกฝีก้าว แต่ในมิติของคุณวิกรมลึกซึ้งกว่านั้นมากเขาเป็นผู้สร้างเกมธุรกิจนี้ขึ้นมา เมื่อถึงเวลาที่สมควรหลังจากถ่ายงานในมือออกสู่ผู้บริหารในระดับต่างๆแล้ว เขาจึงมีหน้าที่คอยเฝ้าดูเกมนี้อย่างคนที่เคยผ่านเกมมาอย่างยาวนาน เขาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการทำงานในยุคนี้ว่าเขามีเวลาว่างมากขึ้น เขาจึงมองการธุรกิจได้ครบมิติที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นการพัฒนา HRให้มีประสิทธิภาพและให้เกิดผลกระทบในระดับสูงที่มีมิติทางเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การบริหารจัดการและกลยุทธ์ และท่านได้ยกตัวอย่าง อย่างเห็นได้ชัดเจนว่า“เหมือนคุณเป็นกัปตันทีมฟุตบอล ผมเป็นโค้ชและเป็นคนดูการมองก็ต่างกันคนที่เป็นกัปตันและนักเตะ มันคิดลำบาก แต่เวลาดูในจอ เราจะเห็นว่าไม่น่าเตะอย่างงั้น ควรทำอย่างงี้ มันก็เกิดอีกมุมมองที่มาเติมให้ครบสามมิติ หรือถ้าเราเป็นกัปตันเรือ ก็ไม่ควรจะไปวิ่งแย้วๆแล้ว ควรนั่งมองเรือของเราทุกด้านดีกว่า แล้วคิดว่าจะต้องแล่นไปทางไหน อย่างไรให้ถึงเร็วและปลอดภัย จะว่าไปแล้ว มันก็เป็นการปรับหน้าที่ แทนที่จะเป็นโอเปอเรเตอร์ ก็เป็น แอดไวเซอร์ ขณะเดียวกัน พอเราทำน้อยลง ก็มีเวลามากขึ้น ก็มีจินตนาการเรื่องงานมากขึ้น เราก็ยังเป็นถังควมคิด ได้ด้วย ดังนั้นทุกวันนี้เป้าหมายและนโยบายขององค์กรเลยมาจากผมคนเดียว เพราะผมได้มานั่งคิด นั่งฝันอยู่ตรงนี้..”
สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมาก ถือว่าเป็นสไตล์การบริหารคนของคุณวิกรมคือการ “ซื้อใจ” ลูกน้องแบบใจต่อใจ ที่ผู้บริหารระดับบนของบ้านเราอาจไม่เคยมีใครทำมาก่อน หรือมีคนเคยทำแต่รับรองว่าไม่ได้มากกว่าที่เขาให้ลูกน้องแน่นอน ว่ากันว่าในอดีตเขาเคยถอดสร้อยทองจากคอมอบให้ลูกน้องมาแล้ว
เพราะเขาถือว่ามูลค่าทางใจมากกว่าเงินที่อยู่ในซอง และในยุคใหม่นี้ ที่”อมตะ” เป็นปึกแผ่นยิ่งใหญ่มั่นคงแล้ว เขามีการใช้วิธีใหม่ที่จุดฝันในการทำงานและครองหัวใจลูกน้องทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม เพราะเขาเปลี่ยนระบบการให้ที่ทุกองค์กรทำเป็นปรกติอยู่แล้วมาใช้แนวคิดที่เรียกว่า “Success Fee” คือการจูงใจด้วยระบบแบ่งผลประโยชน์ ที่ไม่ใช่โบนัส ที่ให้นำกำไรที่ได้แต่ละปีมาแบ่งให้กับคนในบริษัท และค่าตอบแทนที่นำมาใช้สร้างแรงจูงใจครั้งนี้มีมูลค่าสูงสุดถึงระดับ “การเป็นเจ้าของบริษัทลูกของอมตะ” เลยทีเดียว หมายความว่า ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของบริษัทที่มีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า ไม่ใช่แค่ดักดานเป็นเพียงลูกจ้างตลอดชีวิต
เชื่อว่าการตอบแทนลูกน้องแบบที่ คงยากที่ลูกน้องคนไหนจะปฏิเสธความหวังดีที่คุณมอบให้ ซึ่งมีข้อแม้ก็คือ พนักงานที่อมตะที่มีอายุ 50 ปีหรือมีอายุงานกับอมตะมาแล้ว 10 ปี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกผลักดันให้ออกไปเป็นซีอีโอ ในบริษัทลูกของอมตะที่เป็นบริษัทใหม่ โดยหลักการคือ ต้องเป็นบริษัทลูกที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบริการในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่ง ที่จะมาต่อยอดให้ “อมตะ” เป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือธุรกิจของบริษัทแม่ เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจสุขภาพ ฯลฯ วิกรมตั้งใจแบะตั้งเป้าทั้งหมดไว้ที่ 100 บริษัท โดยปัจจุบันมีอยู่แล้ว 15 บริษัท
โดยการวางแผนจัดเตรียมให้กับว่าที่ซีอีโอ แห่งบริษัทลูกของอมตะ เป็นแบบแพ็คเกจสำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนที่อมตะจะเป็นผู้ออกให้ก่อน วงเงินกู้ ซึ่งภายใต้ร่มของอมตะ บริษัทใหม่จะได้อนิสงฆ์ทั้งกู้ง่าย โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์และดอกเบี้ยต่ำ
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายทางธุรกิจติดไม้ติดมือออกไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ รวมถึงต้องมีการตกลงในการแบ่งสัดส่วนกำไรกันอย่างชัดเจนระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูกที่ตั้งขึ้นมาใหม่ การบริหารนั้นก็ให้อยู่ในมือซีอีโอใหม่ บริษัทจะคอยช่วยเหลือเพียงเรื่องเงินลงทุนและให้คำปรึกษาเท่านั้น และหากบริษัทใหม่ดำเนินไปด้วยดีภายใน 3-5 ปี บริษัทมีสิทธิ์ที่จะขอซื้อหุ้นจาก บริษัทแม่ๆ ผมถือครองไว้เองก็ยังได้ ในราคาขายที่เป็เงินต้นบวกดอกเบี้ยที่เป็นจริง เขาเชื่อมั่นว่า ระบบเช่นนี้ย่อมเป็นการจูงใจให้ซีอีโอใหม่ทำงานหนักขึ้น ระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รักและหวงแหนบริษัทในภาพรวมมากขึ้น เพราะด้วยความที่เป็นบริษัทของตนเองจริงๆ ได้โดยอัตโนมัติ สำหรับวิกรมแล้ว “เป้าหมายคือเข็มทิศ แรงจูงใจเป็นน้ำมัน และความฮึกเหิมก็เป็นเหมือนไฟคอยผลักดัน” ซึ่งแนวคิดปลุกใจเช่นนี้ให้กำลังใจเขาในการทำงานทุกครั้งและส่งต่อไปในทีมตลอดเวลา รวมถึงกลยุทธ์สำคัญที่วิกรมใช้เพื่อรักษา ความมั่นคงและความอยู่รอดของบริษัทลูก ก็คือ “การร่วมทุน” กับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ เป็นการประกันความเสี่ยงได้ดีในระดับหนึ่ง โดยวิกรมได้คิดระบบ Balance & Checking ขึ้น แล้วสร้างทีมงานที่คัดเลือกมาอย่างดีโดยวิกรม คอยทำหน้าที่ควบคุมดูแลรักษาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน รวมถึงช่วยเหลือให้คำปรึกษากับซีอีโอบริษัทลูกให้ทำงานได้ยอดตามเป้าและลดต้นทุนให้ได้ตามแผน
เมื่อสื่อมวลชนถามว่าผู้บริหารที่ดี หรือผู้จัดการที่ดีควรจะต้องมีหลักอย่างไร วิกรมตอบแบบสั้นๆแต่ชัดมากนั่นคือ “ทำ(งาน) น้อยลง ได้(กำไร) มากขึ้น” เขามองว่าผู้บริหารหรือผู้จัดการที่เก่งหรือได้รับการยอมรับว่าเป็นมืออาชีพต้องสร้างระบบขึ้นมา เพื่อไม่ให้ธุรกิจนั้นไปยึดอยู่กับที่ตัวบุคคล เป็นศิลปะแห่งการบริหารหรือ Art of Management ที่มีระบบเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าใครจะเข้ามาทำงานก็ต้องยอมรับและอยู่ในระบบนี้ให้ได้
โดยระบบจะเป็นตัวนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่องค์กรที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นองค์กรที่อยู่ตัวมาแล้วระดับหนึ่ง มีระบบและเครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานที่ดี ทั้งยังต้องมีพนักงงานที่ทั้งเก่งและมีความสามารถอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับวิกรมที่อยู่เหนืออื่นใดในการเลือกคนเข้ามากทำงานกับเขาก็คือ ต้องมีจิตวิญญาณแห่งความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ และการระดมความคิดในการทำงานที่เขาชอบบอกลูกน้องเสมอ ๆว่า “โต๊ะต้องมีหลายขา” การทำงานก็เช่นเดียวกัน การช่วยกันระดมสมอง ระดมความคิด เรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย และไม่มีเรื่องใดที่เป็นไปไม่ได้
ครั้งหนึ่งเมื่อเขาให้สัมภาษณ์กับ นิตยสารซีเคร็ท(Secret) โดยอุษาวดี สินธุเสน ด้วยคำถามที่แหลมคมว่า “หลักในการบริหารงานบริหารคนแบบฉบับของวิกรมเป็นอย่างไร” วิกรมตอบแบบสบาย ๆ ว่า “ผมว่าคนที่จะบริหารงานได้ดี
1. จะต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ สามารถตีความและเข้าใจทุกอย่างได้ถูกต้อง
2. จะต้องมีความยุติธรรม ถ้าเรามีความยุติธรรม ทุกคนก็จะมีความเชื่อมั่นในตัวเราและ
3. เราต้องคิดเสมอว่า พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้”
ตื่นนนอนลืมตามาปิ๊ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ให้คิดเสมอว่า พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ เราต้องทำดีไปเรื่อย ๆ ถ้าผู้บริหารไม่หยุดอยู่กับที่ ลูกน้องก็จะไม่อยู่กับที่ และลูกน้องจะมีความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าขององค์กรและตัวเองไปด้วยและอีกคำถามว่า “เขามีต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจคือใคร? ที่ทำให้เป็นวิกรม กรมดิษฐ์ในวันนี้”เขาเฉลยให้ฟังว่า
“...สิ่งที่ดีของคุณพ่อคือ เป็นต้นแบบของความขยัน ความรับผิดชอบ เป็นต้นแบบของคนทำงานที่เราควรจะเอาเป็นแบบอย่าง ฉะนั้นวันนี้ผมประสมผลสำเร็จ ก็เพราะในตัวผมนี่มียืนของคุณพ่อ คือมีความอดทน ความขยัน ความรับผิดชอบ มีความฉลาดเฉลียว ซึ่งเป็นสิ่งทีดี”
...ผมชอบเอาหลาย ๆ คนมาผสมกัน เราเป็นโต๊ะพิเศษก็ต้องมีหลายขา เราอย่าไปเอาขาเดียวกันไม่มัน เพราะแต่ละคนเก่งกันคนละอย่าง
ด้านจิตใจที่มุ่งมั่นต้องเจงกิสข่าน แต่ไม่เหี้ยมเกรียมเหมือนเขานะ ส่วนการบริหารงานต้อง โรนัลด์ เรแกน เลือกคนเก่ง ๆ มาทำงานโดยให้นโยบาย เป้าหมาย สนับสนุนช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษาเขา แล้วคอยตรวจงานเขา คือเป็นผู้จัดการที่ดี
อีกคนคือ เติ้งเสียวผิง ผมชอบตรงที่เขาไม่แบ่งชั้นวรรณะไม่เลือกว่าจะเป็นแมวดำหรือแมวขาว ใครก็ได้ที่เป็นคนเก่ง ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ผมก็ไม่ต้องการให้บริษัทของผมเป็นธุรกิจในครอบครัว จึงกำหนดไว้ว่าจะไม่เอาคนในครอบบครัวทำงานในบริษัทเกิน 2 คน และต่อไปถ้าคนในครอบครัวผมไม่เก่ง ก็ให้เอาคนอื่นมาเป็นผู้นำ นี่เป็นไอเดียที่ได้จากเติ้งเสี่ยวผิง
อีกคนที่ผมชอบคือ มหาตมะคานธี ท่านชอบปั่นด้าย ใส่โจงกระเบน อยู่อย่างสมถะ สันโดษ ผมเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูงก็ต้องใจเย็นลง อยู่อย่างสันโดษบ้าง ดูอย่างแมงมุมมันยังสร้างรังด้วยตัวมันเอง ไม่ต้องให้ใครมายุ่ง
ส่วน จอร์จ วอชิงตัน ผมก็มีความคิดเหมือนเขาในการกลับไปสู่ความเป็นความเป็นตัวของตัวเอง จอร์จ วอชิงตัน เคยเป็นผู้นำกองทัพ เขาสามารถเป็นกษัตริย์ได้ แต่กลับไปเป็นชาวไร่ ตอนหลังเขาได้รับเชิญให้ไปเป็นประธานาธิบดี พอทำหน้าที่เสร็จก็กลับไปเป็นชาวไร่เหมือนเดิม ผมก็เป็นชาววไร่ ทุกวันนี้ผมอยู่ไร่ กลับไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริง
และอีกคำถามหนึ่งน่าจะถูกใจท่านผู้อ่านทุกคน ถึงข้อแนะนำว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จอย่างวิกรมบ้าง เข้าตอบว่า”...สำหรับข้อแนะนำที่จะให้ได้ก็คือ
ดังนั้นพอเขาทำคอมพิวเตอร์แล้วเขาถึงไปทำซอฟแวร์ ซึ่งตลาดต้องการมาก เพราะอย่างนี้จึงทำให้อายุสามสิบกว่าเขาก็รวยแล้ว
2. จะต้องมีความรับผิดชอบสูง ทำงานหนัก ไม่หนีงานและชอบที่จะทำงานหนัก นี่หมายความว่าเวลาเจองานหนัก ๆ แล้วไม่หนีงาน พวกที่ทำงานอย่างบ้าเลือดที่เรียกว่า”เวิร์คอะฮอลิก(Workaholic)” ผมคิดว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักตัวเองเราต้องทำงานเป็น รับผิดชอบเป็น รู้จักเลือกงานเป็นแล้วทำให้เกิดประสิทธิภาพ คนที่เป็นผู้จัดการที่ดีคือคนทีทำงานน้อย แต่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด และต้องรู้จักดูแลตัวเอง ร่างกายคนมีนาฬิการ่างกายที่เรียกว่า “Body Clock” เมื่อไรที่เราเพลียเราก็พัก เราหิวเราก็ทาน อย่าไปดันทุรัง คนที่รวย ๆ แล้วตาย ก็เพราะทำงานหนักเกินไปและไม่ดูแลตัวเอง
สุดท้ายคือ มีความเป็นสุภาพบุรุษ อะไรที่ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควรอย่าไปเอาเปรียบคนอื่น เราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเราเองและมีความจริงใจต่อสังคม เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาต้องได้มาด้วยความภาคภูมิใจ ถ้ารวยบนคราบน้ำตาหรือบนซากศพ พวกนั้นถือว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษ...
และนี่คือการมองคน มองงาน มองโลกแบบวิกรม กรมดิษฐ์ ที่บอกได้คำเดียวว่า น่าสนใจและน่าลองนำไปใช้กับชีวิตในทุกมิติเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับเรื่อง HRD ของดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่มีลักษณะพิเศษที่สอดคล้องกับทุนแห่งความสุข กล่าวคือ
1. ปัญญา 3 ฐาน ได้แก่ ฐานกาย เป็นเรื่องของการฝึกสติ ความฉลาดในการดูแลร่างกายตนเองได้ และทักษะต่าง ๆ ฐานใจ เป็นเรื่องของจิตอาสา จิตสงบ จิตว่าง ฉลาดทางอารมณ์และฐานคิด เป็นการคิดอย่างมีสติ คิดตอนจิตว่าง คิดโดยไม่อคติและไม่ลำเอียง คิดและทำในสิ่งที่เป็นกุศล เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และส่วนรวมด้วยพร้อม ๆ กัน
2. HRD จะใช้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ ประกอบด้วย
“3 ห่วง 2 เงื่อนไข” คือพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน
บนเงื่อนไข ความรู้และคุณธรรม
ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในองค์กร ชุมชน ครอบครัวและตนเอง
ได้อย่างยั่งยืน ความสุข
จะเห็นได้ว่าการจะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างวิกรม กรมดิษฐ์
ในส่วนตัวนั้นต้องมี ทุนแห่งความสุข(Happiness Capital)จากทุน
8 ประการของท่าน ศ.ดร.จีระ
ซึ่งท่านถือได้ว่าเป็นนักวิชาการที่มีศักยภาพสูง
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ มองไกล
มองลึกและกว้าง
คนที่มีวิสัยทัศน์ย่อมมีความสามารถคิดริเริ่มในสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ
ทันเหตุการณ์ และสู่ความสุขในทฤษฎี 3 วงกลมของท่าน
ศ.ดร.จีระ ที่วิกรม กรมดิษฐ์ได้นำหลักตามทฤษฎีมาใช้
ซึ่งเป็นสูตรสำหรับรับมือกับการเปลี่ยน แปลงหรือ Change
Management
และการดำเนินชีวิตภายใต้การแข่งขันสูงในระบบทุนนิยมสุดขั้วในปัจจุบันที่ยากจะปฏิเสธได้อย่างมีความสุข
ดังนี้
วงกลมที่ 1 contex วิกรม
กรมดิษฐ์ เขาเป็นผู้สร้างเกมธุรกิจนี้ขึ้นมา
เมื่อถึงเวลาที่สมควรหลังจากถ่ายงานในมือออกสู่ผู้บริหารในระดับต่างๆแล้ว
เขาจึงมีหน้าที่คอยเฝ้าดูเกมนี้อย่างคนที่เคยผ่านเกมมาอย่างยาวนาน
รู้จักตัวเองก่อนว่าตัวเองชอบอะไร
และต้องรู้ความต้องการของตลาดด้วยยกตัวอย่าง บิลล์ เกตส์
ที่เขาประสบความสำเร็จเพราะ
เขาทำในสิ่งทีตัวเองชอบและรู้ความต้อการของตลาด”
วงกลมที่ 2 Competencies เป็นทฤษฎีเพิ่มศักยภาพ มีความรับผิดชอบสูง ทำงานหนัก ไม่หนีงานและชอบที่จะทำงานหนัก รู้จักเลือกงานเป็นแล้วทำให้เกิดประสิทธิภาพ เป็นผู้จัดการที่ดีคือทำงานน้อย แต่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด และรู้จักดูแลตัวเอง การเลือกคนเข้ามากทำงานกับเขาก็คือ ต้องมีจิตวิญญาณแห่งความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ และการระดมความคิดในการทำงาน
วงกลมที่ 3 Motivation วิกรม มีเครือข่ายทางธุรกิจติดไม้ติดมือออกไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ รวมถึงต้องมีการตกลงในการแบ่งสัดส่วนกำไรกันอย่างชัดเจนระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูกที่ตั้งขึ้นมาใหม่ การบริหารนั้นก็ให้อยู่ในมือซีอีโอใหม่ บริษัทจะคอยช่วยเหลือเพียงเรื่องเงินลงทุนและให้คำปรึกษาเท่านั้น และหากบริษัทใหม่ดำเนินไปด้วยดีภายใน 3-5 ปี บริษัทมีสิทธิ์ที่จะขอซื้อหุ้นจาก บริษัทแม่ๆ ผมถือครองไว้เองก็ยังได้ ในราคาขายที่เป็นเงินต้นบวกดอกเบี้ยที่เป็นจริง เขาเชื่อมั่นว่า ระบบเช่นนี้ย่อมเป็นการจูงใจให้ซีอีโอใหม่ทำงานหนักขึ้น ระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รักและหวงแหนบริษัทในภาพรวมมากขึ้น เพราะด้วยความที่เป็นบริษัทของตนเองจริงๆ ได้โดยอัตโนมัติ
จากกรณีศึกษา เกี่ยวกับทุนแห่งความสุข ( Happiness Capital)
จะต้องมีการเสียโอกาสวันนี้เพื่อจะได้มาในวันหน้า เช่น
กลยุทธ์สำคัญที่วิกรมใช้เพื่อรักษาความมั่นคงและความอยู่รอดของบริษัทลูก
ก็คือ “การร่วมทุน” กับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ
เป็นการประกันความเสี่ยงได้ดีในระดับหนึ่ง
โดยวิกรมได้คิดระบบ Balance & Checking ขึ้น
แล้วสร้างทีมงานที่คัดเลือกมาอย่างดี โดยวิกรม
คอยทำหน้าที่ควบคุมดูแลรักษาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
รวมถึงช่วยเหลือให้คำปรึกษากับซีอีโอบริษัทลูกให้ทำงานได้ยอดตามเป้าและลดต้นทุนให้ได้
ตามแผน ดังนั้น
คำว่าทุนจึงเป็นหลักการที่จะทำอย่างไรที่เราจะได้รับประโยชน์จากมัน
สถานการณ์โลก และบ้านเมืองที่เลวร้ายขึ้นทุกวัน
จึงทำให้คนหันมาสนใจธรรมะมากขึ้นเพื่อว่าจะทำให้ภาวะจิตใจที่เร่าร้อนไปตามสถานการณ์
อ่อนลงหรือ เย็นลง มีเหตุผล ถ้อยทีถ้อยอาศัย เช่น
สถานการณ์น้ำท่วมถ้าใช้ระบบของ Covey หรือระบบของ Synthesis
ก็อาจจะหาทางออกที่ดีได้
โดยเฉพาะใส่แว่นตาให้คนไทยที่อยู่ในโลกของความไม่งมงาย
เชื่ออะไรง่ายๆ มองสิ่งที่เป็นความจริงมากขึ้น
ไม่มีความเห็น