มันสำปะหลังปีนี้ได้รับฝนมากเลยแต่เป็นฝนที่ตกหนัก ซึ่งอาจชะเอาหน้าดิน ธาตุอาหารพืชไปไกลจากรากพืช วันนี้ก็เกือบ 2 เดือนแล้วที่ยังไม่ได้เข้าไปดูแปลงมันสำปะหลัง การเดินทางช่วงนี้ลำบาก เส้นทางคมนาคมจะใช้ทางไหน ก่อนนี้เคยไปกำแพงเพชรในเดือนกันยายน ช่วงที่ฝนตกน้ำท่วมพอดี บางเส้นทางที่ผ่านก็มีน้ำไหลบ่ามาก ไม่เชื่อว่าน้ำเหล่านั้นจะมีผลต่อน้ำท่วมในพื้นที่ตอนล่างรวมทั้งกรุงเทพจนถึงปัจจุบัน ตอนนั้นคิดว่าน้ำจำนวนมหาศาลแต่มีผู้ใดสนใจกักเก็บ คอยแต่กันไม่ให้ผ่านเข้าพื้นที่ของตนเอง และการกระทำเช่นนี้ก็มาเกิดในแทบทุกพื้นที่ในประเทศ น้ำฝนตกแต่ละปีหากนำจำนวนรวมทั้งปีก็ไม่แตกต่างกันมากนัก(เฉพาะที่มีสถานีตรวจวัด) การกระจายในช่วงหนึ่ง ๆ ที่แตกต่างทำให้มีปัญหาการจัดการน้ำในช่วงต่อไป ฤดูแล้งที่จะมาถึงจะมีน้ำเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะพืชที่ต้องการการให้น้ำ เช่น ข้าว พืชไร่
มันสำปะหลังได้เปรียบกว่าพืชอื่น สามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายมีการระบายน้ำดี โดยเฉพาะดินนั้นต้องเป็นดินบนที่ดอน เนื้อหยาบ อินทรียวัตถุต่ำ (น้อยกว่า 2%) ธาตุอาหารในดินไม่สูงมากนัก พีเอชอยู่ระหว่าง 5-6 เป็นกรดจัด และไม่เค็ม มันสำปะหลังต้องการพื้นที่ที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยปีละ 1,000-1,500 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ย 25-29 องศาเซลเชียส และสามารถปลูกได้เกือบตลอดทั้งปี เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 8-18 เดือน พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก เกษตรกรมักเลือกปลูกช่วงต้นฝนเพื่อให้ได้รับน้ำในช่วงแรกของการเจริญเติบโตโดยเฉพาะช่วง 2-5 เดือนแรกซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญทำให้ผลผลิตได้ตามศักยภาพ มันสำปะหลังต้องการความชื้นในการเตรียมดิน และการงอกของท่อนพันธุ์ หลังฝนตกหนักหรือประมาณ 20-25 มม.ก็เพียงพอสำหรับเริ่มปลูกมันสำปะหลัง
- มันสำปะหลังต้องการน้ำในช่วงแรกของการเจริญเติบโตโดยเฉพาะอายุมันสำปะหลังระหว่าง 2-5 เดือนหลังปลูก
- การให้น้ำในช่วง 2-5 เดือนแรก ไม่แตกต่างจากการให้น้ำตลอดฤดูปลูก
- ความถี่ในการให้น้ำทุก 2 สัปดาห์ ให้ผลผลิตแตกต่างกับทุก 4 สัปดาห์
- การปลูกต้นฝน ช่วงแรกของการเจริญเติบโตอยู่ในช่วงฤดูฝนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำ แต่อาจเสริมในช่วงแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง การปลูกปลายฝนการให้น้ำจำเป็นในบางพื้นที่
- การให้น้ำสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับมันสำปะหลัง พืชสามารถพัฒนาตัวเองให้ต้านทานต่อแมลงศัตรูได้ดีขึ้น เหมาะสมกับแมลงตัวห้ำและตัวเบียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ไม่เหมาะสมกับแมลงศัตรูพืชอย่างเพลี้ยแป้ง
- ระบบการให้น้ำแบบน้ำหยด ซึ่งเป็นวิธีการที่ประหยัดน้ำกว่าการให้แบบตามร่อง
มันสำปะหลังไม่จำเป็นต้องให้น้ำแต่หากมาจัดการน้ำให้อยู่ในดินได้นานขึ้นก็จะมีประโยชน์ทำให้การเจริญเติบโตและผลผลิตดีขึ้น โครงสร้างของดินเปลี่ยนแปลงได้ยาก ดินมีส่วนที่เป็นของแข็ง เช่น หิน แร่ธาตุ และอินทรียวัตถุ และส่วนที่เป็นช่องว่างหรือรูพรุนเพื่อเก็บน้ำและอากาศ ในพื้นที่ที่ปลูกพืชมานานโครงสร้างทางกายภาพจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น อินทรียวัตถุลดลง ช่องว่างที่จะเก็บน้ำและอากาศรวมกันก็ลดลง เนื่องจากการอัดแน่นของดิน เกิดชั้นดานใต้ชั้นไถพรวน มีผลให้น้ำในดินเป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง รวมทั้งธาตุอาหารพืชในดินด้วย เราสามารถปรับปรุงได้โดยการปรับปรุงบำรุงดิน
ไม่ควรจะเผาหรือเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากการเผาทิ้ง หรือขนย้ายไปทิ้ง จะทำให้ธาตุอาหารสูญหายไปเป็นจำนวนมาก แต่ควรมีการใช้ผาล 3-4 สลับกับผาล 7 บ้างเพื่อพลิกดินล่างกลับขึ้นมา นอกจากจะช่วยทำดินให้ร่วนซุยแล้ว ยังนำเอาธาตุอาหารที่ถูกชะล้างลงไปอยู่ดินล่างกลับขึ้นมาอยู่ในชั้นดินบนให้มันสำปะหลังนำไปใช้ได้อีก
การสูญเสียของธาตุอาหารพืชจากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง
ส่วนของมันสำปะหลัง |
ธาตุอาหารที่สูญหายไปจากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 1 ไร่ |
||
ไนโตรเจน |
ฟอสฟอรัส |
โพแทสเซียม |
|
หัวมัน |
6 กก. |
3 กก. |
20 กก. |
ต้น+ใบ |
10 กก. |
2 กก. |
9 กก. |
หัว + ต้น + ใบ |
16 กก. |
5 กก. |
29 กก. |
เทียบเท่ากับปุ๋ย 15-7-18 ประมาณ 100 กิโลกรัม ต่อไร่ (ปุ๋ย 2 กระสอบ)
ไร่มันสำปะหลังที่มีการปรับปรุงดินใบมันสำปะหลังจะทิ้งใบช้าลง ยังมีเวลาสะสมอาหารได้อีก ผลผลิตก็เพิ่ม จึงอยากให้ชาวมันสำปะหลังหันมาให้ความสนใจกับการปรับปรุงบำรุงดินกัน