ผมได้อ่านผู้จัดการรายวัน วันจันทร์ที่ 26 ก.ย.48 หน้า 43 คอลัมน์ “รากแก้วแห่งปัญญา” โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ชื่อเรื่องในวันนี้คือ “การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศไทย (2)” มีข้อมูลที่ผมสนใจอยากจะบันทึกไว้ใช้อ้างอิงภายหลัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จึงขอนำมาบันทึกไว้ใช้ร่วมกันใน NUKM blog ดังนี้ครับ
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมีทั้งส่วนที่เป็นภาคราชการ กึ่งราชการ และภาคเอกชน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ แบ่งได้เป็นระดับต่าง ๆ 3 ระดับ คือ ระดับนโยบาย ระดับบริหารจัดการทุนวิจัย และระดับวิจัยหรือหน่วยปฏิบัติการ โดยในแต่ละระดับมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. ระดับนโยบาย หน่วยงานที่ต้องทำหน้าที่กำหนดโยบายการวิจัยของชาติตามกฎหมายคือ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเท่าที่ผ่านมา หน่วยงานนี้ยังไม่ได้ทำหน้าที่ตามบทบาทดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เสมือนหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยด้วย ซึ่งอาจขาดมิติเรื่องการบริหารจัดการที่ดี เนื่องจากมีความซ้อนเหลื่อมระหว่างการกำหนดนโยบายและการจัดการทุนวิจัย
2. ระดับหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี แต่อยู่นอกระบบราชการ ปกติมีหน้าที่ดูแลสนับสนุนการวิจัย โดยการให้ทุนไปยังหน่วยวิจัยต่างๆ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ อุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์พื้นฐาน รวมทั้งการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา เช่น การวิจัยชุมชน และงานวิจัยเชิงนโยบายต่าง ๆ
3. สำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตร (สวก.) เป็นองค์การมหาชน โดยจัดตั้งขึ้นตามโครงการเงินกู้ธนาคารแห่งเอเชีย (ABD) มีบทบาทในการสนับสนุนทุนวิจัยด้านการเกษตรเพื่อการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก
4. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานนอกระบบราชการ อยู่ในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำหน้าที่สนับสนุนทุนวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเน้นเทคโนโลยีหลัก 3 ด้านคือ เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT : Information Technology) และเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ (Materials Technology) นอกจากนี้ ยังมีหน่วยวิจัยของตนเองทางด้านเทคโนโลยีทั้งสามนี้ และอยู่ในระหว่างการพัฒนางานทางด้านนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)
5. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานนอกระบบราชการ อยู่ในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทในการสนับสนุนทุนวิจัยทางด้านการพัฒนาระบบสาธารณสุข
6. ระดับหน่วยวิจัย เช่น สถาบันเฉพาะทางและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีบทบาทในการทำการวิจัยโดยมีเป้าหมายแตกต่างกันไป เช่น การใช้ประโยชน์เชิงวิชาการ เชิงพาณิชย์ สาธารณะ และนโยบาย”
วิบูลย์ วัฒนาธร
การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศไทย | | |
แก้ไขโดย Mr.Ratarawee Techaikool | |||
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2548 | |||
องค์ประกอบของระบบวิจัย ประกอบด้วย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการวิจัย รวมทั้งผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย นักวิจัย หน่วยงานวิจัย หน่วยบริหารทุนวิจัย และหน่วยกำหนดนโยบายการวิจัยของประเทศ ซึ่งองคาพยพเหล่านี้จะต้องมีความเชื่อมโยงถึงกัน และทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
ถ้าแบ่งองค์ประกอบของระบบวิจัยเหล่านี้ออกเป็นส่วน ๆ ในกระบวนการสร้างผลผลิตของงานวิจัยตั้งแต่ปัจจัยนำเข้า (Input) การบริหารจัดการ (Management) และผลผลิต (Output) ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ (Outcome) และผลกระทบ (Impact) ต่อไปดังผิดพลาด! ไม่พบแหล่งการอ้างอิง นั้น ในส่วนของปัจจัยนำเข้าซึ่งเป็นปัจจัยจำกัดอย่างหนึ่งในระบบการวิจัยนั้น จะมีอยู่สองอย่างที่สำคัญคือ นักวิจัย และงบประมาณการวิจัย หากปัจจัยนำเข้าทั้งสองส่วนนี้มีไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลกระทบถึงจำนวนผลผลิตของงานวิจัยโดยตรง
จากข้อมูลของ R&D World Competitive Yearbook (2004) รายงานขีดความสามารถของประเทศต่าง ๆ เชิงเปรียบเทียบ โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานบางประการเช่น จำนวนนักวิจัย งบประมาณ จำนวนผลงาน และสิทธิบัตร พบว่าประเทศไทยมีทรัพยากรนำเข้าค่อนข้างต่ำมาก เช่นจำนวนนักวิจัยต่อประชากร 10,000 คน ของไทยมีเพียง 3 คนเท่านั้น และงบประมาณที่สนับสนุนการวิจัยคิดเป็นร้อยละ 0.26 ของรายได้ประชาชาติ (GDP) และได้ผลงานวิจัยตีพิมพ์ในระดับสากลเพียงปีละ 2,283 เรื่อง ในปี 2546 และมีสิทธิบัตรนานาชาติเฉลี่ยเพียงปีละ 98 เรื่องเท่านั้น จากปัจจัยนำเข้าที่มีอยู่ (Input) คือจำนวนนักวิจัยและงบประมาณวิจัยที่ค่อนข้างน้อยกว่าที่ควรจะเป็น อันมีสาเหตุมาจากนโยบายการวิจัยที่ไม่ชัดเจน ประกอบกับการบริหารจัดการทุนวิจัยที่ไม่รัดกุมเพียงพอเนื่องจากงบประมาณการวิจัยส่วนใหญ่ส่งตรงจากสำนักงบประมาณไปยังหน่วยวิจัยโดยตรงโดยไม่ผ่านหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัย ทำให้ระบบการจัดการส่วนนี้อ่อนแอ จึงส่งผลให้ปริมาณผลผลิต (Output) ที่ได้ น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ผลงานที่สามารถนำไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศหรือนวัตกรรม ซึ่งเป็นส่วนของ Outcome มีน้อยมากตามไปด้วย และส่งผลกระทบ (Impact) ให้ระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 55 จาก 60 ประเทศ และระดับขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมอยู่อันดับที่ 29 งบประมาณการวิจัย งบประมาณที่ใช้สนับสนุนการวิจัยของภาครัฐที่จัดสรรผ่านสำนักงบประมาณในแต่ละปีนั้น มีประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จัดสรรตรงไปยังหน่วยงานทำการวิจัย และมีเพียงส่วนน้อย (น้อยกว่าร้อยละ 20) ที่จัดสรรผ่านหน่วยบริหารจัดการงานวิจัย เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติบางส่วน ปัจจุบันยังไม่มีระบบประเมินสัมฤทธิผลที่ได้จากการลงทุนวิจัยในลักษณะดังกล่าว จึงทำให้ภาพของการบริหารของหน่วยจัดการทุนวิจัยยังไม่เด่นชัดเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม จากการประเมินอย่างไม่เป็นทางการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติโดยผ่านทางบริษัท Thai Rating and Information Services (TRIS) เมื่อปี 2542 ผลปรากฏว่าการบริหารงานของสำนักงานจัดการทุนวิจัยเช่น สกว. และสวทช. สามารถดำเนินการได้ดีถึงดีมาก เมื่อเทียบกับรูปแบบการส่งงบประมาณวิจัยไปยังหน่วยวิจัยโดยตรง ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณโดยตรงไปยังหน่วยวิจัยหรือหน่วยปฏิบัติการโดยไม่ผ่านกระบวนการจัดการที่ดีนั้น น่าจะส่งผลให้การลงทุนด้านการวิจัยขาดประสิทธิภาพ (ติดตามต่อสัปดาห์หน้า)
| |||
แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2548 ) |
จากเมื่อวันพุธทีผ่านมาทราบว่าอาจารย์อยากอ่านบทความแรกจึง search จาก internet ให้อาจารย์ได้แล้วค่ะ ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้อ่านหรือยัง ถ้ายังนี่คือบทความตอนที่ 1 ที่นสพ.ผู้จัดการตีลงค่ะ ...เพียงออ... การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศไทย(1) |
โดย สำนักงานกองทุนสนุบสนุนการวิจัย (สกว.) | 21 กันยายน 2548 09:24 น. |
|