เช้านี้ฝนก็ยังคงตกโปรยปราย ... ท้องฟ้าไม่มีแดด
ข้าพเจ้ายังคงดำเนินวิถีชีวิตตามปกติ คือ การมาฝึกฝนและขัดใจตนเอง ให้คลายออกจากสิ่งที่โอบอุ้มด้วยโคลนตมแห่งความลุ่มหลง ความโลภ ความโกรธ
หมอปึ่งและหมอเอกก็ยังคงมาถวายอาหารเช้าเช่นเดิม มาอย่างเงียบและเรียบง่าย คือ ความงามที่สะท้อนออกมาทางจิตใจ
หลังฉันอาหารเสร็จหลวงปู่เมตตาอบรมธรรมะ ท่านพูดถึงเรื่องความเพียรและกระรอก
กระรอกสองแม่ลูกที่ช่วยกันวิดน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำท่วม แม้แม่น้ำจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กระรอกสองแม่ลูกละออกจากความพากเพียร
ยังคงช่วยกันวิดน้ำ
แล้วท่านก็ยกตัวอย่างเรื่องพระมหาชก ที่พากเพียรสั่งสมบุญบารมี ไม่ได้ขาด แม้มหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไพศาลแต่ก็ไม่ได้หยุดที่จะเพียร
เราก็เช่นเดียวกัน ชีวิตของเราก็เป็นดั่งสมมุติที่จำลองมหาสมุทร ที่เราจะต้องข้ามฟากฝั่นนี้ไปให้ได้ ความพากเพียรจะทำให้เราผ่านไปได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ยังจะต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสังสาร ดั่งวนอยู่ในมหาสมุทรนี้
อยู่เฉยๆ มันก็ไม่สามารถผ่านไปได้ มันต้องมาพากเพียรสั่งสมฝึกฝนตนเอง
จากนั้นหลวงปู่ก็ยกตัวอย่างเด็กวัยรุ่นสามคนที่ชวนกันมาถือศีลแปดอยู่วัด ท่านเมตตาบอกว่าให้ชวนวัยรุ่นมาเยอะๆ ช่วยเขาให้หลุดออกจากนรก ได้พากเพียรฝึกฝนตนเอง
แล้วท่านก็เมตตาเทศน์สอนหมอปึ่งว่า...
ให้รักษาลูกด้วยอารมณ์ดี ลูกเติบโตมาจะเป็นผู้มีประโยชน์ ช่วยและพัฒนาสังคม แม้จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ให้รีบคลอดและนำมาถวายเป็นลูกหลวงปู่
แล้วท่านก็พูดถึงการไปช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ...
ให้ไปช่วยเขาเรื่องใจนี่แหละ ช่วยให้เขามีกำลังใจ มีอารมณ์สุนทรียะ
ความเมตตาของหลวงปู่มีอย่างมากมายประมาณที่สุดมิได้
ท่านเป็นครูที่สอนให้เห็นถึงความเมตตาและกรุณา การมองสิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์เชิงบวก การช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างไร้เงื่อนไข
ท่านทำให้ดู ทำให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
นี่คือ กำลังใจอันยิ่งใหญ่...ที่ได้รับในเช้าวันนี้
แม้ความเพียรยังน้อยยิ่งกว่ากระรอกสองตัว แต่ข้าพเจ้าก็ได้บอกตัวเองว่าอย่าหยุดทำ แม้ทำคนเดียวก็ให้ทำ...ทำไปจนหมดลมหายใจ ดั่งที่หลวงปู่ท่านบอกว่า
"ให้ทำความพากเพียร จนเต็มสุดความสามารถที่เรามีอยู่"
...
๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔
สวัสดีค่ะ
"ให้ทำความพากเพียร จนเต็มสุดความสามารถที่เรามีอยู่"
อนุโมทนาสาธุค่ะ
เข้ามาอ่านอีกรอบค่ะ (^_^)
ก็ยังรู้สึกประทับใจ