ตามที่สปสช.ได้มีการสนับสนุนการดำเนินโครงการการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองตั้งแต่ ปี2553 พบปัญหาอุปสรรคของหน่วยบริการซึ่งเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งคือ ปัญหาเรื่องยามอร์ฟีน ไม่ว่าจะเป็นด้านความขาดยา ณ ช่วงขณะหนึ่ง และ ขาดความหลากหลายของรูปแบบยาในการใช้กับผู้ป่วย ซึ่งทางสปสช.ได้มีการจัดหารือผู้เกี่ยวข้อง (ตั้งแต่ช่วงต้นปีงบประมาณ 2554 จนถึงปัจจุบัน)ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ตัวแทนหน่วยบริการ และนักวิชาการ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ในที่ประชุมได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความจำเป็นต้องใช้ยามอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการเช่น อาการปวด อาการหอบเหนื่อย เป็นต้น โดยประเด็นปัญหาที่สำคัญเบื้องต้นที่ขอให้อย.เร่งจัดการคือ ปัญหาการขาดแคลนยาในบางช่วง ซึ่งทาง อย.ได้รับประเด็นไปปรับปรุงเรื่องการจัดจ้างการผลิต
และจากการได้รับทราบเรื่องราวการดำเนินงานPalliative care อย.ได้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้ยามอร์ฟีนในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จึงได้มีการจัดมาตรการเพื่อการรองรับการใช้ยาที่คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้น โดยได้ปรับการสำรองปริมาณยามอร์ฟีนในปี 2554 ให้มี 2 แหล่งผลิต รวมถึงการปรับ stock ยาที่จำเป็นจากทุก 1 ปีเป็น 2 ปี และกำหนดราคายาไว้ 2 ราคา เพื่อเปิดตลาดให้ generic และ original โดยควบคุมด้านมาตรฐานยาก่อนอนุมัติให้ผลิต เพื่อเป็นทางเลือกให้แพทย์ผู้ใช้ ส่วนปัญหาด้านราคายาที่มีราคาแพงในส่วนของการผลิตอาจจะต้องเปิดให้เอกชนเข้าประมูลคู่กับ อภ.ถ้าทางอภ. ไม่สามารถลดราคาจำหน่าย แต่จะพบปัญหาในยามอร์ฟีนชนิดแคปซูล เนื่องจาก Kapanol เป็นผู้ผลิตรายเดียว ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องราคา และสืบเนื่องจากประกาศการหยุดจำหน่ายยามอร์ฟีนชนิดผงให้หน่วยบริการเนื่องจากข้อกำหนดทางกฎหมายตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา16 ห้ามผู้ใดผลิตนำเข้าหรือส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภท 2 รวมถึงการห้ามหน่วยบริการผลิตยาเอง อย.จึงดำเนินการหาทางแก้ไขโดยการจัดจ้างให้อภ. ผลิตยามอ์ฟีนชนิดน้ำออกจำหน่ายในราคา 65 บาท/ขวด (60 ml) แทน แต่หน่วยบริการหลายแห่งให้ความเห็นว่า ราคาการจำหน่ายยามอร์ฟีนชนิดน้ำของ อย.มีราคาแพงหากเทียบกับหน่วยบริการซื้อยามอร์ฟีนชนิดผงมาผลิตเอง ทั้งนี้ทางอย.จึงได้จัดหารือร่วมกับอภ.เพื่อร่วมมือในการผลิตยาที่ราคาถูกลง ซึ่งเดิมต้นทุนของหน่วยบริการในการผลิตยามอร์ฟีนชนิดน้ำมีราคาประมาณ 25 บาท/ขวด ทั้งนี้ได้ข้อสรุปว่าจัดให้ MO Syrup เป็นยาในกลุ่ม CSR (กลุ่มยาที่ขายราคาตามต้นทุนโดยไม่หวังกำไร) เพื่อช่วยเหลือสังคม จึงได้ปรับลดราคาจากเดิม 65 บาท เป็น 35บาท ซึ่งประกาศราคายาเสพติดให้โทษประเภท 2 ที่มีการปรับราคานี้(มียามอรืฟีนชนิดอื่น ๆ อีก)จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ตามประกาศนี้นอกจากนี้ที่ประชุมได้เล็งเห็นว่านอกจากการมียาให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายคงยังไม่เพียงพอ ทั้งนี้ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการให้ความรู้ เพราะแพทย์หลายท่านยังมีความเข้าใจในการให้ยากับผู้ป่วยกลุ่มนี้น้อยมาก ทั้งนี้อย.ได้มีการดำเนินการจัดอบรมให้ความรู้กับแพทย์จบใหม่ในด้านการจัดการความปวดขึ้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยได้รับความร่วมมือจากแพทย์แผนกวิสัญญี (จากคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่และม.สงขลานครินทร์) เข้าร่วมให้ความรู้ แต่ยังพบว่ามีแพทย์เข้าร่วมอบรมน้อยมาก บางภาคไม่ถึง 10 ท่าน ซึ่งอาจจะต้องย้อนมามองว่าการให้ความสำคัญด้านนี้ควรพัฒนาไปอย่างไร เพราะนอกเหนือจากกำลังสำคัญของทีมพยาบาลแล้ว กำลังจากทางแพทย์ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แต่ยังพบว่ามีแพทย์เข้าร่วมอบรมน้อยมาก บางภาคไม่ถึง 10 ท่าน ซึ่งอาจจะต้องย้อนมามองว่าการให้ความสำคัญด้านนี้ควรพัฒนาไปอย่างไร
ขอบคุณที่ให้ความสำคัญ พัฒนา palliative care คะ
ความรู้ ก็สำคัญ แต่ "Attitude" ของแพทย์ต่อการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้
อาจเป็นอีกคำตอบว่าทำไม การใช้ยามอร์ฟีน (ซึ่งต้องสั่งโดยแพทย์) เพื่อบรรเทาอาการ
จึงน้อยกว่าที่ควรเป็น
เรียนคุณหมอป.ค่ะ
ทั้งนี้เรื่องความรู้และทัศนคติ ได้หารือกับคณะทำงานฯแล้วค่ะโดยเริ่มจากรร.แพทย์เป็นหลัก และคิดว่าหากมีการผลักดันเรื่องpalliative care มากขึ้น น่าจะเป็นปัจจัยที่จะร่วมกันผลักดันองค์ประกอบในส่วนต่าง ๆ ที่เป็นการดำเนินงาน palliative care ได้มากขึ้นด้วยค่ะ