ICD-10 คืออะไร
ICD-10 ย่อมาจาก International Classification of Diseases
and Related Health Problem 10th
Revision หรือศัพท์ภาษาไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขเรียกว่า
บัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศฉบับแก้ไขครั้งที่ 10
เป็นระบบที่มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน ดังนี้
-
ระบบการจัดหมวดหมู่ของโรคและปัญหาสุขภาพต่างๆที่พบในมนุษย์
-
ระบบรหัสโรคและรหัสปัญหาสุขภาพ
ระบบการจัดหมวดหมู่ของโรคใช้หลักการของ Nosology
หรือศาสตร์แห่งการจัดหมวดหมู่โรค
ในการจับกลุ่มโรคที่ลักษณะใกล้เคียงกันมาอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน
ส่วนระบบรหัสโรคและรหัสปัญหาสุขภาพใช้การกำหนดรหัสเป็นสัญลักษณ์แทนโรคหรือปัญหาสุขภาพ
ลักษณะรหัสของ ICD-10
รหัส
ICD-10 เป็นรหัสตัวอักษรผสมตัวเลข (Alphanumeric code)
โดยรหัสแต่ละตัวจะขึ้นต้นด้วยตัวอักขระภาษาอังกฤษ A-Z
แล้วตามด้วยตัวเลขอารบิก 0-9 อีก 2 ถึง4 ตัว
จึงเป็นรหัสที่มีความยาว 3,4 หรือ 5 อักขระ(Character) สำหรับ
ICD
ตัวอย่างรหัส
ICD-10 ได้แก่
I10
เป็นรหัสแทนโรค Hypertension
J18.9 เป็นรหัสแทนโรค
Pneumonia
M00.91 เป็นรหัสแทนโรค Pyogenic Arthritis at shoulder
ศัพท์ทางการแพทย์และศัพท์เฉพาะของ
ICD-10
การให้รหัสโรค สำหรับผู้ป่วยแต่ละรายนั้น
ผู้ให้รหัสต้องรู้ว่าผู้ป่วยมีโรคกี่โรค เป็นโรคอะไรบ้าง โดยทั่วไป
การให้รหัสICD-10 นั้น จะให้รหัสต่อโรคที่ผู้ป่วยเป็น 1 โรค
ผู้ให้รหัสจึงต้องการชื้อโรคที่ชัดเจนและมีลักษณะที่ดี
โดยลักษณชื่อโรคที่ดีนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบ3 ข้อดังนี้
1. มีคำที่บอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร
2. มีคำที่บอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคตำแหน่งใด
ระบบไหนของร่างกาย
3. มีคำที่บอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคชนิดใด
การเรียงลำดับรหัสโรค
ในการลงรหัสโรคผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้น
เมื่อค้นหาและใส่รหัสโรคทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยแล้ว
ผู้ให้รหัสยังมีหน้าที่เรียงลำดับรหัสโรคให้ตรงตามประเภทของรหัสโรคด้วย
โดยในการให้รหัสโรคผู้ป่วยในนั้น
ผู้ให้รหัสมีหน้าที่ต้องเรียงลำดับรหัสโรคไปตามชนิดของโรคต่างๆ
ดังนี้
-
รหัสโรคหลัก (Maim condition code/ Principal diagnosis)
-
รหัสการวินิจฉัยร่วม (Co-morbidity codes)
-
รหัสโรคแทรกซ้อน (Complication codes)
-
รหัสการวินิจฉัยอื่น (Other diagnosis codes)
-
รหัสสาเหตุของการบาดเจ็บ (External causes of injury)
การวินิจฉัยหลัก (Maim condition code/
Principal diagnosis)
องค์ประกอบที่สำคัญตามคำจำกัดความ ได้แก่
-
การวินิจฉัยหลักมีได้เพียงการวินิจฉัยเดียวเท่านั้น
-
การวินิจฉัยว่าโรคใดเป็นการวินิจฉัยหลักให้กระทำเมื่อสิ้นสุดการรักษาแล้วเท่านั้น
เพื่อให้ได้คำวินิจฉัยโรคขั้นสุดท้าย (Final diagnosis)
ซึ่งจะเป็นคำวินิจฉัยโรคที่ละเอียดชัดเจนมากที่สุด
ดังนั้นการวินิจฉัยหลักอาจแตกต่างไปจากการวินิจฉัยเมื่อแรกรับ
(admitting หรือ provisional diagnosis )
-
ในกรณีของผู้ป่วยใน
โรคที่บันทึกเป็นการวินิจฉัยหลักต้องเป็นโรคที่เกิดขึ้นในตัวผู้ป่วยตั้งแต่ก่อนรับเข้าไว้รักษาในโรงพยาบาล
มิใช่โรคแทรกที่เกิดขึ้นมาภายหลัง
ถึงแม้โรคแทรกที่เกิดมาภายหลังจะทำให้สุญเสียทรัพยากรหรือค่าใช้จ่ายในการรักษามากกว่า
แพทย์ก็มิอาจเลือกโรคแทรกมาบันทึกเป็นการวินิจฉัยหลักได้
-
ในผู้ป่วยที่มีโรคหลายโรคปรากฏขึ้นพร้อมๆกันตั้งแต่ก่อนรับเข้าไว้รักษาในโรงพยาบาล
ให้เลือกโรคที่ได้ทำการรักษาเป็นการวินิจฉัยหลัก
หากรักษาหลายโรคพร้อมๆกัน
ให้เลือกโรคที่รุนแรงที่สุดเป็นการวินิจฉัยหลัก
หากโรคที่รักษาพร้อมกันหลายโรคมีความรุนแรงใกล้เคียงกัน
ให้เลือกโรคที่ใช้ทรัพยากรในการรักษาสูงสุดเป็นการวินิจฉัยหลัก
-
ในผู้ป่วยบางรายที่แพทย์วินิจฉัยโรคให้แน่ชัดไม่ได้จนสิ้นสุดการรักษาแล้ว
ให้แพทย์บันทึกอาการ (Symptom) หรือ อาการแสดง (Sign) หรือ กลุ่มอาการ
(syndrome) ที่สำคัญที่สุดเป็นการวินิจฉัยหลัก
การวินิจฉัยร่วม
(Comorbidity)
โรคที่เป็น
การวินิจฉัยร่วม (Comorbidity) คือ
โรคที่ปรากฏร่วมกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลัก
และเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคมากพอที่จะทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงชีวิตสูงมากขึ้น
หรือใช้ทรัพยาการในการรักษาเพิ่มขึ้นระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล
องค์ประกอบที่สำคัญตามคำจำกัดความ ได้แก่
-
เป็นโรคที่พบร่วมกับการวินิจฉัยหลัก หมายความว่า เกิดขึ้นก่อน
หรือพร้อมๆกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลัก
คือเป็นโรคที่เกิดขึ้นในตัวผู้ป่วยตั้งแต่ก่อนรับเข้าไว้ในโรงพยาบาล
มิใช่โรคแทรกที่เกิดขึ้นภายหลัง
-
เป็นโรคที่มีความรุนแรงมากพอที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรก
เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือพิการระหว่างรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ทำให้ต้องเพิ่มการตรวจพิเศษ เพิ่มยา/เวชภัณฑ์
ต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกอื่นๆ
ต้องทำการรักษาเพิ่มเติม
-
แพทย์สามารถบันทึกการวินิจฉัยร่วมได้มากกว่า 1 โรค
โดยไม่จำกัดจำนวน
-
โรคที่มักเป็นการวินิจฉัยโรคร่วม ได้แก่ โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น
เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด
หรือโรคประจำตัว ในกรณีผู้ป่วยบาดเจ็บหลายตำแหน่ง
มักมีบาดแผลต่างๆที่มีความรุนแรงน้อยกว่าบาดแผลหลักเป็นโรคร่วมอยู่เสมอ
-
การให้รหัสโรคที่เป็นการวินิจฉัยร่วมทุกรหัส
ต้องมีการวินิจฉัยโรคอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของแพทย์ผู้ดูแล
หรือร่วมกันรักษาเป็นหลักฐานรับรองการบันทึกรหัสเสมอ
ผู้ให้รหัสไม่สามารถนำเอาผลการตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ
หรือการตรวจพิเศษอื่นใดที่มิใช่คำวินิจฉัยโรคของแพทย์มาตีความเป็นการวินิจฉัยร่วมเองโดยพลการ
ถ้าหากมีข้อสงสัยว่าผู้ป่วยจะมีโรคที่เป็นการวินิจฉัยร่วมอื่นใดที่แพทย์ลืมบันทึก
ผู้ให้รหัสโรคอาจส่งเวชระเบียนให้แพทย์พิจารณาทบทวนวินิจฉัยโรคเพิ่มเติมได้ก่อนให้รหัส
โรคแทรก (Complication )
โรคแทรก
(Complication)
คือโรคที่ไม่ปรากฏร่วมกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลักแต่แรกแต่เกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว
และเป็นโรคที่มีความรุนแรงของโรคมากพอที่จะทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อชีวิตสูงมากขึ้น
หรือใช้ทรัพยาการในการรักษาเพิ่มขึ้นระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล
องค์ประกอบที่สำคัญตามคำจำกัดความของโรคแทรก
ได้แก่
-
เป็นโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง ไม่เกิดขึ้นก่อน หรือ
ไม่เกิดพร้อมกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลัก คือ
เป็นโรคที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว
-
เป็นโรคที่มีความรุนแรงมากพอที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรก
เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือพิการระหว่างรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ทำให้ต้องเพิ่มการตรวจพิเศษ เพิ่มยา/เวชภัณฑ์
ต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกอื่นๆ
ต้องทำการรักษาเพิ่มเติม
-
โรคแทรกอาจเป็นโรคต่างระบบกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลัก
และอาจไม่เกี่ยวเนื่องกับการวินิจฉัยหลัก
-
แพทย์สามารถบันทึกโรคแทรกได้มากกว่า 1 โรค
การวินิจฉัยอื่น (Other
diagnosis)
การวินิจฉัยอื่นๆ (Other diagnosis ) คือ
โรคของผู้ป่วยที่ไม่เข้าข่ายคำจำกัดความของการวินิจฉัยหลัก
การวินิจฉัยร่วม หรือโรคแทรก
กล่าวคือเป็นโรคที่ความรุนแรงของโรคไม่มากพอที่จะทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อชีวิตสูงมากขึ้น
หรือเป็นโรคที่ไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการรักษาเพิ่มขึ้นระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาลครั้งนี้
อาจเป็นโรคที่พบร่วมกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลัก
หรือพบหลังจากเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแล้วก็ได้
องค์ประกอบที่สำคัญตามคำจำกัดความของการวินิจฉัยอื่นๆ
ได้แก่
-
เป็นโรคเล็กน้อย
หรือเป็นโรคที่มีความรุนแรงไม่มากพอที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรก
เสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือพิการระหว่างรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ไม่ทำให้ต้องเพิ่มการตรวจพิเศษ ไม่ต้องเพิ่มยา/เวชภัณฑ์
ไม่ต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกอื่นๆ
ไม่ต้องทำการรักษาเพิ่มเติม
-
เป็นโรคพบร่วมกับโรคที่เป็นการวินิจฉัยหลัก
หรือพบหลังจากเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแล้วก็ได้
-
อาจเป็นโรคระบบเดียวกันกับการวินิจฉัยหลัก
หรืออาจไม่เกี่ยวเนื่องกับการวินิจฉัยหลักก็ได้
-
แพทย์สามารถบันทึกการวินิจฉัยอื่นๆได้มากกว่า 1 อย่าง
กลไกการบาดเจ็บ หรือการได้รับพิษ
(External causes of injury and
poisoning)
กลไกการบาดเจ็บ หรือการได้รับพิษ (External causes of injury and
poisoning) คือข้อมูลที่ได้จากการซักประวัติ
เพื่อให้ทราบว่าบาดเจ็บมาอย่างไร เป็นอุบัติเหตุ ถูกทำร้าย
ฆ่าตัวตายฯลฯ
เพื่อให้ได้ข้อมูลมาใช้ป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเป็นสาเหตุให้สูญเสีย
แพทย์ต้องระบุกลไกการบาดเจ็บของผู้ป่วยบาดเจ็บทุกราย
องค์ประกอบที่สำคัญของกลไกการบาดเจ็บได้แก่
-
บอกลักษณะกลไกการบาดเจ็บได้อย่างละเอียด เช่น
บรรยายว่านั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จะไปทำงาน
แล้วรถจักรยานยนต์สะดุดก้อนหินลื่นล้มเอง
หรือบรรยายว่าถูกฟันด้วยมีดอีโต้ขณะไปเที่ยวที่งานวัด
-
ระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอุบัติเหตุหรือถูกทำร้าย
หรือเป็นการฆ่าตัวตาย/ทำร้ายตัวเอง
การลงรหัสโรคร่วม โรคแทรก โรคอื่นๆ สาเหตุ
ตัวอย่าง ผู้ป่วยชายไทย 28 ปี
ขับรถปิคอัพ ชนกับเสาไฟฟ้า 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาลสลบ หายใจช้าและตื้น
มีแผลที่หน้าผาก กว้าง 10 ซม. ลึกถึงกะโหลก แขน-ขาซ้ายอ่อนแรงทำ
CT-Scan พบมี Acute Subdural Hematoma บริเวณ Right temporal อีก 30
นาทีต่อมาทำผ่าตัด Craniotomy with clot removal หลังผ่าตัด 1 วัน
ผู้ป่วยเริ่มลืมตาได้เมื่อเจ็บ แต่ยังมีแขนขาซ้ายอ่อนแรง 3
วันต่อมา มีไข้สูง ไอ เสมหะสีเขียวข้น วินิจฉัยว่าเป็น Klepsiella
Pneumonia Left Uppet Lobe ต้องให้ Antibiotic + เครื่องช่วยหายใจอยู่
7 วัน อาการไม่ดีขึ้น ซึมลงมากกว่าเดิม ตรวจ CT-Scan ซ้ำ พบมี
Generalized Brain Edema มาก อีก 5 วันต่อมา ไข้ลดลง
แต่พบว่าไม่ค่อยตอบสนองต่อความเจ็บปวด แพทย์ให้การวินิจฉัยว่า Brain
Death ใช้เครื่องช่วยหายใจต่ออีก 25 วัน
ญาติขอให้หยุดเครื่องช่วยหายใจ จึงเสียชีวิต
Disease categories
|
Diagnosis
|
ICD codes
|
1. Main condition
|
Acute Subdural Hematoma Right temporal
|
S06.5
|
2. Comorbidity
|
1. Laceration wound at forehead
2. none
3.none
|
1.S06.0
2.
3.
|
3.Complication
|
1. Klepsiella Pneumonia Left Uppet Lobe
2. Generalized Brain Edema
3. none
|
1. J15.0
2. G93.6
3.
|
4. Other diagnosis
|
1. none
2. none
|
1.
2.
|
5. External cause of injury
|
ขับรถปิคอัพชนเสาไฟฟ้า
|
V45.59
|
การค้นหารหัสโรคจากดรรชนีของ
ICD-10
ขั้นตอนวิธีการให้รหัส
ผู้ให้รหัสก็จะเริ่มดำเนินการให้รหัสโรคได้ต้องมีข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วยอยู่ในมือ
แล้วเริ่มใช้ข้อมูลจากใบสรุปการรักษาของแพทย์เป็นหลักฐานในการลงรหัสโดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
-
ตรวจสอบโรคที่ปรากฏในใบสรุปการรักษาให้สอดคล้องกับข้อมูลในเวชระเบียน
-
เปลี่ยนคำย่อทุกคำให้เป็นคำเต็ม
-
เลือกคำหลักของโรคทั้งหมด
-
ใช้คำหลักเปิดหารหัส ICD -10 จากดรรชนี
-
ตรวจสอบรายละเอียดจากหนังสือ ICD-10 เล่มที่ 1
แล้วเลือกรหัสที่เหมาะสม
-
กำหนดรหัสโรคหลัก โรคร่วม โรคแทรก และโรคอื่นๆ
หนังสือ ICD-10
ICD-10 ประกอบด้วยหนังสือ 3 เล่มดังนี้
เล่ม 1 รายการรหัสโรคพร้อมคำอธิบาย (Tabular list)
เล่ม 2 วิธีการใช้รหัส ICD-10 ,
กฏเกณฑ์ต่างๆและประวัติการพัฒนา
เล่ม 3 ดรรชนีค้นหารหัสโรค (Alphabetical index)
บทต่างๆ ของ
ICD-10
เนื้อหาในหนังสือเล่ม 1 ของ ICD-10
ส่วนใหญ่เป็นรายการรหัสโรคพร้อมคำอธิบาย โดยแบ่งเนื้อหาเป็นบทต่างๆ
รวมทั้งสิ้น 21 บท ดังนี้
บทที่ 1
โรคติดเชื้อ ใช้รหัส
A00-B99
บทที่ 2
เนื้องอกและมะเร็ง
ใช้รหัส C00-D48
บทที่ 3
โรคเลือด
ใช้รหัส D50-D89
บทที่ 4
โรคต่อมไร้ท่อ ใช้รหัส
E00-E90
บทที่ 5 โรคจิต โรคประสาท
พฤติกรรม ใช้รหัส
F00-F99
บทที่ 6
โรคสมองและระบบประสาท
ใช้รหัส G00-G99
บทที่ 7
โรคตา ใช้รหัส
H00-H59
บทที่ 8
โรคหู
ใช้รหัส H60-E95
บทที่ 9
โรคหัวใจและหลอดเลือด
ใช้รหัส I00-I99
บทที่ 10
โรคปอดและระบบหายใจ ใช้รหัส
J00-J99
บทที่ 11
โรคระบบย่อยอาหาร ใช้รหัส
K00-K93
บทที่ 12
โรคผิวหนัง ใช้รหัส
L00-L99
บทที่ 13
โรคกล้ามเนื้อและกระดูก ใช้รหัสM00-M99
บทที่ 14
โรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
ใช้รหัส N00-N99
บทที่ 15 โรคตั้งครรภ์
การคลอด
ใช้รหัส O00-O99
บทที่ 16
โรคของทารกแรกเกิด
ใช้รหัส P00-P96
บทที่ 17
พิการแต่กำเนิด
ใช้รหัส Q00-Q99
บทที่ 18
อาการและอาการแสดงผิดปกติ
ใช้รหัส R00-R99
บทที่ 19
การบาดเจ็บและการได้รับพิษ
ใช้รหัส S00-T98
บทที่ 20
สาเหตุภายนอกของการบาดเจ็บ
ใช้รหัส V01-Y98
บทที่ 21
การให้บริการสุขภาพ
ใช้รหัส Z00-Z99
บทที่ 22
รหัสสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ
ใช้รหัส U00-U99
ในแต่ละบทของ ICD-10ยังมีการแยกโครงสร้างย่อยลงไปเป็นหมวดต่างๆ
(Blocks) โดยจัดโรคที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมาอยู่ในหมวดเดียวกัน
และได้แจกแจงรายการหมวดต่างๆ
ที่มีอยู่ในแต่ละบทไว้ในหน้าแรกของแต่ละบท เช่น ในบทที่1
โรคติดเชื้อมีการแบ่งโครงสร้างเป็นหมวดต่างๆอีกในราว 20 หมวด
หมายเหตุ
ในการให้รหัสโรคนั้นจำเป็นต้องมีหนังสือ/คู่มือประกอบด้วย
เพื่อความถูกต้องแม่นยำ