ผมเคยจัดหลักสูตรฝึกอบรม สัมมนา และ workshop หลายครั้ง หลายครา
แต่มักมีผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วม แต่ต้องมีหนังสือเชิญ จากผู้จัดไปเสนอผู้บริหารก่อน
ผมจึงสงสัย?????
เอ๊! ถ้าไม่มีหนังสือเชิญ เขาก็จะพลาดโอกาสเลยใช่ไหม?
แค่กำหนดการ รายละเอียดงาน ก็น่าจะใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติได้แล้ว หรือผิดกติกา?
บางครั้ง ต้องส่งขออนุมัติถึงขั้น อธิบดี อธิการบดี ผู้บริหารระดับสูงมากๆ ผมสงสัยอีกว่า เรื่องประเภทนี้ต้องเป็นภาระของผู้บริหารระดับสูงด้วยเหรอ? เพราะแค่หนังสือเอกสารเรื่องอื่นก็บานเบอะแล้ว
มุขนี้ เอื้อต่อการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กร หรือ กัดเซาะพฤติกรรมการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กร อันไหนมากกว่ากันนะ?
พฤติกรรมนี้ มันอยู่ใกล้ หรือห่างไกล กับ จุดที่เรียกว่า empowerment?
หรือว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ทำต่อๆกันมา เลยต้องทำต่อๆกันไป
เข้าใจว่าเป็นกฏเกณฑ์ ของทางราชการครับ โดยเฉพาะการเข้ามาร่วมอบรม สัมมนาโดยใช้งานราชการ เเต่หากมีฉันทะมาเอง โดยใช้วันลา หรือ ป่วย ก็เป็นอีกเรื่อง
วิธีที่ง่ายเเละดูปลอดภัยที่สุด คงเป็นการขอหนังสือเชิญ
กรณีแบบนี้ เกิดขึ้นกับทีมงานผมเองด้วย เมื่อจะขอทีมงานสักคนที่เป็นราชการมาทำงานร่วมทีม ก็ต้องขอหนังสือจากหน่วยงานที่ผมไปทำ workshop ให้ ส่งไปที่ต้นสังกัดท่านวิทยากรอีกที ซึ่งก็ดูยุ่งยาก เเต่ในปัจจุบันก็ทำแบบนี้อยู่ครับ
เรื่องแบบนี้เครือข่ายเบาหวานก็เจอบ่อย หนังสือเชิญที่ว่านั้นไม่ใช่หนังสือเชิญชวนทั่วไป แต่จะขอเป็นหนังสือเชิญที่ระบุชื่อตัวคนที่ต้องการจะมาเข้าอบรมหรือประชุม
เครือข่ายฯ ของเราไม่ทำให้ค่ะ เพราะเรื่องจะให้ใครมานั้นเป็นหน้าที่ที่หน่วยงานต้องพิจารณาเอง เราไม่มีหน้าที่เชิญใครอย่างเจาะจง
เอ๊! ถ้าไม่มีหนังสือเชิญ เขาก็จะพลาดโอกาสเลยใช่ไหม?
วิธีทำงานของคนในแต่ละองค์กรมีหลายแบบครับ คนและวัฒนธรรม ย่อมอยู่ใต้กฎระเบียบขององค์กรนั้น ธรรมดาครับ เขาจะพลาดโอกาสเพราะเขาต้องการพลาดเองครับ
แค่กำหนดการ รายละเอียดงาน ก็น่าจะใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติได้แล้ว หรือผิดกติกา?
ใช้ได้ครับในบางองค์กร และใช้ไม่ได้ในบางองค์กร แต่ผมมีความเห็นว่ามันมีช่องทางในทุกองค์กรให้เดินครับ เพียงแต่เขาอยากเดินหรือไม่ หรือต้องการให้ท่านได้แสดงบางอย่าง มันเป็นเพียงแต่ว่า คนนั้นเขาจะสนองต่อสิ่งที่เข้ามาอย่างไร ด้วย กฎ กติกา มรรยาท ของสังคม องค์กรเขาครับ อยากจะบอกว่าทุกอย่างทุกองค์กรทำได้แต่ จะทำหรือไม่เท่านั้นครับ
บางครั้ง ต้องส่งขออนุมัติถึงขั้น อธิบดี อธิการบดี ผู้บริหารระดับสูงมากๆ ผมสงสัยอีกว่า เรื่องประเภทนี้ต้องเป็นภาระของผู้บริหารระดับสูงด้วยเหรอ? เพราะแค่หนังสือเอกสารเรื่องอื่นก็บานเบอะแล้ว
บางครั้งเราต้องเข้าใจนะครับ เงินที่องค์กรลงไป ต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้บริหารระดับสูงของเขา บางครั้่งเราต้องเห็นว่า เขาต้องการผลงาน การจากงานไปเพิ่มความรู้ต้องให้ผู้บริหารระดับสูงได้รับทราบ มีเหตุผลอีกมากมายที่ข้างล่างต้องส่งไปข้างบนครับ
มุขนี้ เอื้อต่อการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กร หรือ กัดเซาะพฤติกรรมการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กร อันไหนมากกว่ากันนะ?
ในการเรียนรู้ของบุคลากรนั้น การหาช่องทางไปรับการอบรมก็เป็นการเรียนรู้นะครับ เพียงแต่ว่าบริบทของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกันนะครับ การพยายามจะไปหรือพยายามจะไม่ไปก็เรียนรู้ได้นะครับ คำว่ามากกว่ากันเป็นการเปรียบเทียบนะครับ เราไม่ควรเปรียบเทียบสิ่งที่ไม่รุ้ว่าเปรียบเทียบกันได้หรือไม่นะครับ
พฤติกรรมนี้ มันอยู่ใกล้ หรือห่างไกล กับ จุดที่เรียกว่า empowerment? หรือว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ทำต่อๆกันมา เลยต้องทำต่อๆกันไป
empowerment มีสองประการนะครับ มีผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้ให้แล้วผู้รับไม่รับ ก็ แหะๆๆ ไม่มีผลนะครับ ส่วนธรรมเนียมปฏิบัติต้องบอกว่าเป็นไปตามบริบทองค์กรครับ เราคงไม่สามารถตัดสินได้ว่า ทำกันต่อมา หรือ ทำไปตั้งคำถามไป อย่างไหนดีกว่ากัน เราคงต้องดูว่าสิ่งที่ทำนั้นยังรับใช้ได้ประโยชน์อยู่หรือปล่าว ก่อนปรับเปลี่ยนโดยทำตามคนอื่นน่าจะต้องพิจารณาอย่างรอบครอบนะครับ
ด้วยจิตน้อมน้อม ขอสันติสุขจงมีแก่คุณธวัช นะครับ
ตุ๊ตตู่ ร่วงโรย