498 หลวงพ่อองค์ดำ นาลันทา


ความศักดิ์สิทธิ์แห่งนาลันทา

หลวงพ่อองค์ดำ นาลันทา

 

ทางเข้าศาลาหลวงพ่อองค์ดำ...กำลังบูรณะ

               ผมทราบข่าวความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อองค์ดำนี้มานานหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปสักการะ จนในปี 2554 จึงมีโอกาสได้ไปกราบท่านเป็นครั้งแรก จากที่เคยเห็นภาพหลวงพ่อในเน็ตก็เข้าใจว่าท่านน่าจะตั้งอยู่ในอุโบสถหรือศาลาที่สวยงาม แต่ไม่นึกว่า พอไปเห็นครั้งแรก ถึงกับงงมาก นี่หรือองค์หลวงพ่อดำที่คนไทยนับถือและศักดิ์สิทธิ์เพราะที่ผมเห็นคือพระพุทธรูปดำองค์ไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่กับพื้นศาลาท่ามกลางสิ่งของที่วางระเกะระกะ ความสูงของเพดานหลังคาต่ำมาก จากเศียรคงห่างเพียงคืบหรือสองคืบเท่านั้นก็ถึงเพดานแล้ว ข้างหน้าหลวงพ่อดำมีกองถุงปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างวางอย่างไม่เป็นระเบียบจนดูน่าเกลียด ไม่น่าจะเป็นสถานที่บูชาพระพุทธรูปได้เหมาะสมเลย และที่สำคัญไม่มีคนมาบูชาเลยสักคน ข้างหน้าศาลามีลูกกรงเหล็กปิดไว้ ผมมองดูแล้วเกิดความรู้สึกปลงธรรมจริงๆ สงสารหลวงพ่อท่านว่าทำไมจึงมีการปล่อยให้เป็นแบบนี้ แต่สักพักเดียวก็มีชาวบ้านเดินมาหลายคน คงเห็นรถที่ผมนั่งจอดอยู่ข้างหน้าศาลา ชายหนุ่มคนหนึ่งบอกให้บูชาหลวงพ่อโดยชี้ให้ดูกล่องบริจาคเงินที่วางอยุ่กับพื้นข้างหน้า อีกคนหนึ่งส่งภาษาไทยสลับภาษาอังกฤษ Black Buddha คนไทยบูชานะนาย และคำว่าหลวงพ่อจำเนียร ให้เงินมาสร้างนะนาย เมื่อผมถามว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ก็ได้รับคำตอบว่าเสร็จเดือนตุลาคม ก็คงจะเตรียมไว้รับผู้แสวงบุญชาวไทยที่จะมาสักการะในช่วงฤดูการแสวงบุญนั่นเอง ผมนึกในใจ

(สร้างใหม่แต่แบบแขก ทำให้เพดานต่ำเหลือเกิน

แค่ตั้งองค์หลวงพ่อกับพื้นก็แทบติดเพดานแล้ว)

เด็กหนุ่มที่พูดภาษาไทยได้บางคำบอกให้ทำบุญ พลางชี้กล่องเหล็กที่วางกับพื้น มีลูกกุญแจเหล็กอันโตล๊อคอยู่ หลังจากที่ผมได้สักการะหลวงพ่อองค์ดำแล้ว ผมหยิบเงินขึ้นมาอธิษฐานและทำบุญใส่กล่องเหล็ก และก็ไม่น่าเชื่อว่าทันทีที่ผมก้าวเดินออกมาจากบริเวณศาลา ผู้คนที่ยืนรออยู่ต่างกรูกันเข้าไปเปิดกล่องเหล็กอย่างไม่เหนียมอาย  อนิจจัง

 

(สภาพของหลวงพ่อในศาลาที่กำลังสร้าง

น่าเศร้าใจมากที่แขกไม่เข้าใจไม่เข้าถึงว่าอะไรคือความเหมาะสม)

ด้วยความที่อยากทราบประวัติหลวงพ่อจึงค้นหาข้อมูลดูในเน็ต ปรากฏว่า หลวงพ่อองค์ดำมีประวัติที่น่าสนใจมาก ตั้งอยู่นอกรั้วทางตะวันตกของโบราณสถานนาลันทา มิน่าล่ะ เมื่อครั้งที่ผมอุปสมบทที่พุทธคยาและจาริกมาเยี่ยมชมนาลันทาเมื่อ 4 ปีก่อน จึงไม่ได้มีการพามาชมหลวงพ่อองค์ดำเพราะอยู่นอกรั้วนี่เอง

หลวงพ่อองค์ดำเป็นพระพุทธรูปปางนั่งขัดสมาธิ “ปางมารวิชัย”  มีอายุ  ๑,๐๐๐  กว่าปีแล้ว  พระเกตุทรงบัวตูม พระหัตถ์ชี้แม่พระธรณี  องค์พระแกะสลักจากหินสีดำ  หน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว สูงนับจากพระเพลาถึงยอดพระเกตุ ๖๙ นิ้ว สังเกตดีๆ จะพบว่าพระนาสิกวิ่นและนิ้วพระหัตถ์บิ่นเล็กน้อย ตามประวัติ บอกว่าสร้างในสมัยพระเจ้าเทวาปาล  ระหว่าง  พ.ศ. ๑๓๕๓ - ๑๓๙๓ โดยท่านธรรมปาล (ตามบันทึกของราม ปิล่า สิงห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยงานท่องเที่ยวอินเดีย) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เหลืออยู่องค์เดียวในบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทานี้  ซึ่งเมื่อปี  พ.ศ. ๑๗๖๖  นาลันทาได้ถูกพวกมุสลิมซึ่งมีโมฮัมหมัด อิคเทีย  ขิลจิ ลูกชายของภัคเทีย ขิลจิ เป็นหัวหน้า พาพวกมาทำลายสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งทุบทำลายพระพุทธรูป  และเผาเอกสารตำราทางพระพุทธศาสนาทั้งหมด และแม้ตอมาจะมีความพยายามรื้อฟื้นนาลันทาแต่ในที่สุดก็กลายเป้นมหาวิทยาลัยร้าง ถูกเศษอิฐและหินทับถมจมลงใต้ดินเป็นเวลานานเกือบ ๗ ศตวรรต (๗๐๐ ปี) คงเหลือไว้แต่ซากปรักหักพักอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ อย่างไรก็ดีต่อมานาลันทาได้ถูกค้นพบโดย ศิษย์ของท่านเซอร์ คันนิ่งแฮม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ และในบรรดาพระพุทธรูปที่ค้นพบ หลวงพ่อองค์ดำเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่สมบูรณ์ที่สุด

(กราบสักการะหลวงพ่อแล้วก็ถ่ายภาพและอธิษฐานขอ

ให้มีการบูรณะให้มีศาลาที่เหมาะสมกว่านี้สำหรับหลวงพ่อในอนาคต

ขอให้ทางการรัฐเข้ามาดูแลด้วยเถิด) 

               

สาเหตุที่ท่านถูกฝังจมลงในแผ่นดินเกือบ ๗๐๐ ปี นั้นดร.อโลก เพื่อนนักวิชาการชาวพุทธของผมได้บอกว่า  คงเพราะความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อทำให้รอดพ้นจากการทำลายของกองทัพมุสลิมมาได้  กอร์ปกับ ชาวบ้านละแวกนั้นต่างเคารพบูชาหลวงพ่อองค์ดำ เหมือนเป็นเทพเจ้าประจำหมู่บ้าน รัฐบาลรัฐพิหารเคยพยายามจะนำหลวงพ่อองค์ดำไปเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ แต่ชาวบ้านไม่ยินยอมสาเหตุสำคัญน่าจะมาจาก 2 ประการ คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อองค์ดำและผลประโยชน์ที่ได้จากหลวงพ่อ

ที่ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อก็คือตำนานที่ว่ามีเด็กคนหนึ่งเกิดมารูปร่างผอมแกร็น พ่อแม่ได้นำเด็กไปไหว้หลวงพ่อองค์ดำโดยนำน้ำมันเนยไปลูบทาและชโลมให้ทั่วองค์พระแล้วนำน้ำมันเนยที่องค์หลวงพ่อนั้นมาลูบไล้ทั่วตัวเด็ก  ซึ่งตั้งแต่นั้นเด็กคนนั้นก็เริ่มแข็งแรง และอ้วนท้วน ชาวบ้านเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงเคารพและบูชาหลวงพ่อองค์ดำตั้งแต่นั้นมา  ชาวฮินดูเรียกหลวงพ่อว่า เตลิยะ บาบา ซึ่งหมายความว่า “หลวงพ่อน้ำมัน” หรือบางคนก็เรียกว่า  โมต้า บาบา ซึ่งก็คือหลวงพ่ออ้วน

ส่วนเรื่องผลประโยชน์ที่เกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อก็คือเงินบริจาค โดยเฉพาะจากผู้แสวงบุญชาวไทย ที่ต่างนิยมมาสักการะหลวงพ่อองค์ดำ และตามปรกติคนไทยมักใจบุญบริจาคเงินบูชาหลวงพ่อทีละมากๆ (ผมได้ยินเด็กหนุ่มที่มาทักทายพูดว่า 1 พัน เป็นภาษาไทยชัดเจน แสดงว่าคนไทยนิยมทำบุญกันที่ละเป็นพันรูปี) บ้างก็บูชาองค์พระจำลองด้วยความศรัทธา ซึ่งมีชาวบ้านแกะสลักหินและนำมาตั้งขาย ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ดี ยิ่งฤดูการแสวงบุญ 6 เดือน คนไทยและล่าสุดมีชาวพุทธศรีลังกาพากันมาสักการะหลวงพ่อองค์ดำด้วยหลังจากที่แวะชมมหาวิทยาลัยนาลันทา จึงเป็นเสมือนแหล่งรายได้หลักของชาวบ้านไปโดยปริยาย นี่คือเหตุผลที่ชาวบ้านไม่ยอมให้ย้ายหลวงพ่อไปที่ไหน

จากคำบอกเล่าของพระสงฆ์ไทยองค์หนึ่ง ทราบว่าสมัยหนึ่ง หลวงพ่อจำเนียรและหลวงพ่อวิธูรจากกระบี่ได้มาเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยนาลันทาและได้เห็นชาวบ้านมาสักการะหลวงพ่อองค์ดำซึ่งอยู่นอกรั้วของนาลันทา โดยต้องเดินฝ่าทุ่งหญ้าและนาข้าวมา หลวงพ่อทั้งสองจึงเกิดความคิดเมตตาที่จะช่วยเหลือชาวบ้านโดยรวบรวมเงินสร้างทางเข้าจากถนนใหญ่เป็นถนนซีเมนต์ กว้างขนาดรถคันเดียววิ่งได้ ลัดเลี้ยวผ่านทุ่งหญ้าไปยังจุดที่หลวงพ่อองค์ดำตั้งอยู่ เพื่อให้คนเข้าไปสักการะได้สะดวก และก็ด้วยความเมตตาดังกล่าว ก็บูรณะศาลาหลังใหม่ด้วย  เด็กหนุ่มที่ศาลาที่ผมพบได้นำภาพของหลวงพ่อจำเนียรมาแสดงให้ดู แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปสักการะนั้นเป็นช่วงที่ยังไม่ถึงฤดูการแสวงบุญจึงทำให้ไม่มีคนไปไปสักการะเลย

ดร.อโลกเพื่อนนักวิชาการชาวพุทธกล่าวว่าที่ตั้งของหลวงพ่อองค์ดำนั้นอยู่ในที่ของกรมโบราณคดีอินเดียซึ่งถือว่าหลวงพ่อองค์ดำเป็นสมบัติของรัฐบาล คนธรรมดาไม่สามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของได้ แต่เนื่องจากผลประโยชน์ที่เกิดจากคนที่มาทำบุญกับหลวงพ่อ ทำให้ชาวบ้านตั้งตัวเป็นเจ้าของและไม่ยอมให้รัฐเข้ามายุ่ง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นการไม่ถูกต้องเลย ผมได้กล่าวกับดร.อโลกว่า ควรที่จะได้มีการสร้างศาลาที่เหมาะสมและสวยงามสำหรับหลวงพ่อองค์ดำและจัดการจัดระบบต่างๆ ให้เรียบร้อยและเป็นกุศล เพื่อมิให้มีการ “หากิน”กับหลวงพ่อองค์ดำเช่นที่ผมเห็น ก็ได้แต่หวังว่าทางการของรัฐน่าจะเข้ามาดูแลตรงนี้เพราะถือเป็นสมบัติของชาวพุทธทั่วโลกเช่นกัน

หมายเลขบันทึก: 459041เขียนเมื่อ 6 กันยายน 2011 21:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 22:46 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นกำลังใจให้ท่านทูต บำรุงพุทธศาสนาในอินเดียคะ อ่านแล้วก็สะท้อนใจ

ผมหยิบเงินขึ้นมาอธิษฐานและทำบุญใส่กล่องเหล็ก และก็ไม่น่าเชื่อว่าทันทีที่ผมก้าวเดินออกมาจากบริเวณศาลา ผู้คนที่ยืนรออยู่ต่างกรูกันเข้าไปเปิดกล่องเหล็กอย่างไม่เหนียมอาย

Ico48

คุณหมอครับ

ถ้าเป็นบ้านเรา หลวงพ่อองค์ดำคงได้รับการดูแล ในศาลาที่สร้างอย่างปราณีตและสวยงาม สมเกียรติ ความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท่าน

แต่ก็เข้าใจแขกนะครับ เพราะวิถีของเขาเป็นเช่นนั้น ชาวบ้านทำกันเอง ด้วยความสามารถที่เขามี ผมเคยไปรัฐพิหารหลายครั้ง เห็นตามสองข้างถนน ศาลาที่เขาทำให้เทพเจ้าของเขาอยู่นั้น ในบางแห่งก็ไม่ต่างจากเพิงร้านขายของ ขอเพียงมีหลังคา ก็นำรูปปั้นเทพหนุมานมาตั้งบูชาได้แล้ว   

ทราบจากกลัยาณมิตรท่านหนึ่งว่าเคยไปสักการะหลวงพ่อองค์ดำในช่วงฤดูกาลแสวงบุญ คนไปบูชากันมาก คนขายของคนขอเงินก็เยอะมากเช่นกัน เธอบกว่าต้องวิ่งหนีกันทีเดียว

สิ่งที่เราจะได้จากการสนับสนุนงานพระพุทธศาสนาในอินเดียคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับอินเดีย โดยไทยอยุ่ในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องบุคคลากร(พระ)และหลักพุทธศาสนาซึ่งเรามีความเข้มแข็งกว่าอินเดียมากนัก

นอกจากนั้นก็ยังสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสังเวชนียสถานกับพุทธศาสนิกชนชาวไทย ให้คนไทยได้มีโอกาสมาพัฒนาจิตเพื่อเพิ่มพลังความรักชาติให้มากขึ้น มีความไม่ประมาทในชีวิตมากขึ้นและที่สำคัญมีคุณธรรมในการดำรงชีวิตมากขึ้น

ผมจึงใช้คำว่าอินเดียเป็นห้องเรียนทางจิตวิญญานที่ดีที่สุดในโลก สามารถเปลี่ยนจิตใจคนได้ในระดับหนึ่งและรัฐบาลน่าจะสนับสนุนให้คนไทยไปสังเวชนียสถานให้สะดวกขึ้น รวมทั้งผู้ด้อยโอกาสในสังคม ควรได้รับโอกาสนี้ด้วย

ขอบคุณที่แวะมาให้ดอกไม้กำลังใจและร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

เจริญสุขครับคุณหมอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท