ตอน เหนื่อยกาย...สุขใจ
ปีนี้ เป็นปีที่4 แล้วที่ฉันทำโครงการตรวจตาผู้ป่วยเบาหวาน
จากประสบการณ์ที่เราได้รับจากปีทีผ่านมาทำให้ปีนี้ฉันและทีมคลินิกพิเศษได้
วางแผนและเตรียมการอย่างรัดกุม สิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาในปีที่แล้ว เรานำมาปรับปรุง
แก้ไข ทุกอย่างไม่ว่าการประสานงาน ประชุมชี้แจง กับทีมเจ้าหน้าที่แต่ละอนามัย
การประชาสัมพันธ์ ให้ผู้ป่วยทราบ รวมทั้งการทำหนังสือแจ้งไปทางผู้ใหญ่
บ้าน ทุกอย่างดูช่างราบรื่นหนังสือจำนวน 115 ฉบับที่ฉันต้องส่งให้ผู้นำชุมชน
แต่ละหมู่บ้าน ได้ฝากไปกับผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการที่คลินิกเบาหวานแต่ละ
หมู่บ้าน ครบทั้ง 115 หมู่บ้านภายใน ระยะเวลา2 วัน
ส่วนกล้องถ่ายภาพจอประสาทตา ก็เป็นความโชคดีที่ รพ.ชุมแพให้ยืม รวมทั้งอบรม
การใช้เครื่องถ่ายภาพจอประสาทตาให้ด้วย โดยมี น้องเสนีย์จากงาน ER
(เจ้าหน้าที่กู้ชีพ)ไปเรียนรู้ด้วยกัน แต่ด้วยความที่ฉันไม่ถนัดในเรื่องการใช้
คอมพิวเตอร์ จึงยกหน้าที่ถ่ายภาพให้เป็นของน้องเสนีย์
และโชคดีอีกหนึ่งเรื่องคือกรมการแพทย์ส่งหนังสืออบรมการคัดกรองภาวะแทรก
ซ้อนทางตาประจำปี 2554 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายในปีนี้พอดี โดยไม่มีค่าลงทะเบียน
ฉันจึงตัดสินใจไปอบรม พร้อมกับพี่โหม่ง ที่ กรุงเทพในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ต้องบอกว่าเป็นการอบรมที่ดีมาก และเกิดประโยชน์กับงานดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
ของเราเป็นอย่างยิ่ง
2 วันสำหรับการอบรม มันทำให้ฉันมั่นใจในการทำงานมากขึ้น
ฉันบอกกับทีมอาจารย์ผู้สอนว่า กลับมาฉันจะใช้ความรู้ที่อาจารย์สอนมาทำให้เกิด
ประโยชน์กับ อำเภอสีชมพู เพราะอำเภอเราอยู่ห่างไกลตัวจังหวัดที่สุด
และเดือนสิงหาคมเรากำลังจะตรวจตาให้ผู้ป่วย เบาหวาน ถ้าเราสามารถอ่านภาพ
จอประสาทตาได้เอง คัดกรองกลุ่มผิดปกติได้ ให้คำแนะนำผู้ป่วย ในการดูแลตน
เองได้ จะเกิดประโยชน์มาก
อาจารย์สมศรี นามวงศ์ (จาก รพ.ราชวิถี ) ยินดีกับสิ่งที่ฉันจะนำความรู้
ที่ได้จากการอบรม มาสานต่อ และให้กำลังใจฉันในการปฏิบัติงาน ฉันยกมือไว้
อาจารย์ทีมผู้สอนทั้งอาจารย์จักษุแพทย์ และอาจารย์พยาบาล
กลับมาจากอบรมครั้งนี้ ฉันมีการบ้านทุกวันโดยการเรียนรู้การอ่านจอ
ประสาทตาผ่านทางอินเตอร์เนต www.retina.no-ip.org/learn ฉันใช้เวลาใน
การฝึกทำแบบฝึกหัด 2 สัปดาห์ คะแนนที่ทำได้ เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆฉันให้กำลังใจ
กับตัวเองว่า...เราต้องทำได้
เมื่อทุกอย่างค่อนข้างพร้อมในการเตรียมการ มันทำให้เราเริ่มนึกถึงผู้มา
รับบริการมากยิ่งขึ้น ...ทำยังไงเวลาที่คนไข้มาตรวจตา แล้วจะได้ไม่ลำบากใน
การหาอาหารสำหรับรับประทาน เพราะพอเรา หยอดตา เพื่อขยายรูม่านตาให้กับ
คนไข้แล้ว จะมีอาการตามัว ประมาณ 6 ชั่วโมง
ฉันนึกถึงโรงทานที่วัด เวลามีงานบุญ คนบ้านเราชอบทำบุญ ด้วยความ
คิดที่ฉันอยากให้ผู้ป่วยเบาหวานที่มาตรวจตา ได้มีอาหารกลางวันรับประทานโดย
ไม่ลำบากในการไปซื้อ หรือกลับบ้านทั้งๆที่ตามัว
ฉันจึงไปปรึกษาพี่แสง (การเงิน ) พี่แสงก็ใจดี รับในการทำโรงทาน
ให้ 1 วัน โดยทีมของคุณยายประนต (แม่ของพี่แสง )
หลังจาก นั้นฉันก็ไปขอโรงทานจากคุณแม่ เกิ่ง ผู้ป่วยเบาหวานที่มารับยาประจำ
กับเรา เมื่อคุณแม่ทราบเหตุผลในการทำโรงทานของเราคุณแม่ยินดี เป็นอย่างยิ่ง
(เพราะคุณแม่เกิ่งชอบทำโรงทานเป็นประจำ สโลแกนของคุณแม่ คือหาเงิน
ไว้ทำบูญ ) จะรับทำโรงทานให้เราในวันที่สอง ฉันรู้สึกดีใจมาก
ไม่ว่าฉันขอความร่วมมือกับใคร ครั้งนี้มันดูง่ายไปหมดทุกอย่าง
พี่แสง และคุณแม่แดง บอกเพื่อเป็นการempower ฉันว่า" เพราะเรามีความตั้งใจ
ที่จะทำให้กับคนไข้ทำให้ทุกอย่างราบรื่นไปหมด "(ฉันแอบปลื้ม และเห็นจะ
จริงตามคุณแม่แดงพูด )
ฉันเริ่มขอความร่วมมือจากน้องประชาสัมพันธ์ในการประกาศแจ้งข่าวการ
รับบริจาคในการทำโรงทาน ใช้เวลาประกาศ เพียง 1สัปดาห์ ร่วมกับการเดินตาม
หน่วยงาน และร้านค้าในตลาดสดที่พอรู้จัก ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเบาหวาน
พี่แสงระวี แม่ค้าส้มตำในตลาด งดขายงดขาย ส้มตำ 1 วัน เพื่อมาตรวจตา และ
มาช่วยตำส้มตำแจกในวันนั้น แม่ค้าผักในตลาดซึ่งเป็นผู้ป่วยเบาหวานเช่นกัน
บริจาค มะละกอ พริก มะนาว ร่วมสมทบกับส้มตำพี่แสงระวี
ร้านชุมพรพานิช คนไข้เบาหวานที่ฉันเคยดูแลแผลผ่าตัดให้ ทำกระเพาะปลา
มาแจก 2 หม้อใหญ่
ร้าน เจส- มีน คุณลุงจิตซึ่งเป็นพ่อ ของร้านซึ่งเป็นผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่
ของเราทำ ขนมจีนน้ำยา มาสมทบ
ร้านจินดาพานิช บริจาคน้ำจำนวน 10 โหล
ส่วนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของเรา และผู้มีจิตเป็นบุญกุศลร่วมบริจาค
ทั้งหมดรวมแล้ว เป็นเงิน 14,000 บาท นอกจากนี้หน่วยงาน ERก็รวมกันซื้อขนม
น้ำดื่มมาแจกเป็นอาหารว่างให้กับคนไข้ ทั้งสองวัน
เจ้าหน้าที่ของเราทั้งพี่จ่อย พี่ วิ ( หัวหน้างานประกันสุขภาพ) ก็ช่วยกัน
ทำอาหารเลี้ยงคนไข้ ภาพที่ทุกคนเห็นรวมทั้งที่ฉันเห็น ล้วนเป็นภาพที่น่าประทับ
ใจเป็นอย่างยิ่ง และมันคงจะเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการร่วมกันทำความดีของพวก
เรา เพื่อผู้ป่วย
จากความคิดเดิมที่เราจะเลี้ยงเพียงผู้ป่วยที่มาตรวจตา ด้วยอานิสงค์ที่พวก
เราช่วยกันบริจาค ทำให้เราได้ทำโรงทานทั้งสองวัน เลี้ยงทั้งผู้ป่วย และญาติ
ทั้งหมดที่มาโรงพยาบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสีชมพูของเราด้วย
ถึงแม้ฉันจะเหนื่อยกายในการทำงาน แต่ความรู้สึกที่ฉันได้รับ นี่รึเปล่านะ
ที่เขาเรียกว่า อิ่มบุญ... ฉันไม่รู้ว่าบุญมีลักษณะเป็นอย่างไร
แต่วินาทีนี้... ฉันรู้สึกอิ่มเอิบใจ สุขใจอย่างบอกไม่ถูก..
ความสุขใจมันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย...
รู้สึกหายเหนื่อย... และมีกำลังใจในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
ฉันภูมิใจ.... และรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองทุกครั้งที่ได้มีส่วนร่วมในการทำงาน
ที่เป็นประโยชน์ ให้กับคนไข้
....และมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นที่นี่....
โรงพยาบาลของเรา .... โรงพยาบาลสีชมพู...