“โรคไมเกรน” เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญ คือ อาการปวดศีรษะมักจะปวดข้างเดียว หรือ เริ่มจากปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง หรือ อาจจะปวดพร้อมกันทั้งสองข้างเลยก็ได้ ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุบๆ เป็นระยะๆ แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลาง ถึง รุนแรงมากจนทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถประกอบกิจวัตรต่างๆ ได้เป็นปกติ ส่วนมากขณะที่ปวดศีรษะ มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ซึ่งโรค ไมเกรน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1. ไมเกรนแบบไม่มีอาการนำ (Migraine without aura/common migraine) เป็นกลุ่มที่พบบ่อย อาการปวดศีรษะจะกินเวลาประมาณ 4-72 ชั่วโมง เกิดร่วมกับการคลื่นไส้อาเจียน, กลัวแสง (photophobia), กลัวเสียง (phonophobia)
2. ไมเกรนแบบมีอาการนำ (Migraine with aura/classical migraine) จะมีอาการ ตาพร่า, ตาลาย, เห็นภาพเบี้ยว เล็กหรือใหญ่เกินจริง, ได้กลิ่นหรือเสียงแปลก นำมาก่อนอาการปวดศีรษะประมาณ 5-20 นาที
อาการปวดศีรษะไมเกรนเกิดจากความผิดปกติที่หลอดเลือดแดงนอกกะโหลกศีรษะ และ หลอดเลือดแดงใหญ่ในกะโหลกศีรษะ โดยเกิดการกระตุ้นปลายประสาทให้หลั่งสารสื่อประสาทออกมา ได้แก่ Calcitonin-gene-related peptide (CGRP), Substrance P (SP) และ Neurokinin A ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดแดงนอกกะโหลกศีรษะขยายตัว และยังทำให้เกิดการอักเสบที่บริเวณรอบหลอดเลือดอีกด้วย
|
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่ • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือ การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด • อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อคโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และ กาแฟ • การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำหรืออยู่ในภาวะขาดน้ำจากการดื่มน้ำน้อยเกินไป • การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส อาทิ แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน • รูปแบบการนอนที่เปลี่ยนไป เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือ นอนมากเกินไป • ความเครียด และ ความวิตกกังวล • สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน • ยาบางชนิด เช่น cimetidine, indomethacin, nifedipine, ยาคุมกำเนิด
|
|
แนวทางการรักษาไมเกรน
1. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อรักษาไมเกรน เมื่อทราบว่าเป็นไมเกรนแล้ว ควรจะออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน ได้แก่ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต เป็นต้น และพยายามทำจิตใจให้สบาย อย่าเครียด หรือวิตกกังวล เพื่อช่วยป้องกันอาการปวด
2. การรักษาโดยการไม่ใช้ยา มักได้ผลในระยะที่ทำการบำบัดรักษาเท่านั้น การรักษาพวกนี้ ได้แก่ การผ่อนคลาย (relaxation therapy), ฝึกการสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองในร่างกาย (biofeedback) , การฝังเข็ม (acupuncture), การบริหารคอ (cervical manipulation) และ การสะกดจิต (hypnosis) เป็นต้น
3. การรักษาโดยการใช้ยา จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
3.1 ยาที่ใช้รักษาเมื่อมีอาการไมเกรน จะใช้เมื่อมีอาการปวดเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันหรือลดความถี่ในการเกิดได้ • ยาแก้ปวด ได้แก่ พาราเซตามอล, แอสไพริน, และยาต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดออกฤทธิ์เร็ว เช่น naproxen sodium, ibuprofen, diclofenac potassium แต่จะไม่ใช้ยา indomethacin • ยากลุ่มเออร์กอต (ergot-based drug) ได้แก่ cafergot® เป็นยาที่ช่วยให้หลอดเลือดในสมองหดตัว จึงสามารถลดอาการปวดได้ เมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรน ให้รับประทานยา 2 เม็ด ถ้ายังไม่หายปวดให้รับประทานเพิ่มครั้งละ 1 เม็ดทุกๆ 30 นาที แต่ห้ามรับประทานเกิน 6 เม็ดภายใน 24 ชั่วโมง และ มากกว่า 10 เม็ดใน 1 สัปดาห์ มีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น จึงควรใช้เฉพาะเมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงและใช้นานๆ ครั้ง การใช้ยาติดต่อกันนานๆ เมื่อหยุดยาจะทำให้เกิดอาการปวดหัว และ มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ เพราะยาตัวนี้ทำให้หลอดเลือดหดตัว และ ยังทำให้มีอาการของโรคหัวใจ และหลอดเลือดด้วย นอกจากนี้ยังห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้แท้งได้ • ยากลุ่มทริปแทน (Triptan) เช่น sumatriptan, naratriptan, zolmitriptan เป็นยาที่ใช้รักษาไมเกรนที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง กลัวเสียงได้ โดยยากลุ่มนี้จะไปช่วยให้หลอดเลือดแดงนอกกะโหลกศีรษะหดตัว และ ลดการอักเสบที่เกิดขึ้น มีอาการข้างเคียง คือ แน่นหน้าอก, อ่อนเพลีย, ชัก, เพิ่มความดันโลหิต และมีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ เพราะยาในกลุ่มนี้ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น, ส่วนในหญิงตั้งครรภ์นั้นยังมีข้อมูลไม่มากพอ ควรใช้ในกรณีที่มีผลดีมากกว่าความเสี่ยงต่อเด็กและหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีภาวะตับ,ไต บกพร่อง เพราะในผู้ที่มีตับบกพร่องจะมีการทำลายยาได้ลดลง และผู้ที่ไตบกพร่องจะขับยาออกได้ลดลงจึงอาจเกิดการสะสมของยาทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
3.2 ยาที่ใช้ในการป้องกันไมเกรน จะใช้ยากลุ่มนี้เมื่อมีอาการมากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์, มีอาการรุนแรง หรือ มีข้อห้ามใช้ยาในกลุ่มแรก ซึ่งยาในกลุ่มนี้ไม่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ แต่จะช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน และลดความรุนแรง รวมถึงความถี่ของการปวดศีรษะ การใช้ยาป้องกันให้ได้ผลจะต้องรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน • Beta-blocker ได้แก่ propanolol, metoprolol, nadolol โดยยาจะเข้าไปลดความไวในการกระตุ้นปลายประสาท มีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรน 55-84% แต่จะพบอาการข้างเคียง คือ อาการอ่อนเพลีย, ฝันร้าย, ซึมเศร้า และห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคหืด(asthma), โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน และโรคซึมเศร้า • ยาต้านอาการซึมเศร้า ได้แก่ Tricyclic antidepressants (TCAs) เช่น amitriptyline, nortriptyline มีประสิทธิภาพประมาณ 50-70% จะมีประโยชน์ในผู้ป่วยที่นอนไม่หลับและมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย แต่พบอาการข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง และต้องระวังในผู้ป่วยที่มีอาการชัก • Calcium channel blocker (CCBs) ได้แก่ verapamil, flunarizine สามารถป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ ประสิทธิภาพป้องกันได้มากกว่า 50% ใกล้เคียงกับยา Beta-blocker • ยากันชัก ได้แก่ sodium valproate, topiramate ยาทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน คือประมาณ 30-80% แต่มีอาการข้างเคียงที่แตกต่างกัน คือ valproate จะทำให้น้ำหนักเพิ่ม, ผมร่วง, คลื่นไส้อาเจียน และ มีการสั่นของร่างกาย ส่วน topiramate จะทำให้น้ำหนักลด และ อาจเกิด nephrolithiasis โดยขนาดยาที่ใช้ป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน จะน้อยกว่าที่ใช้ในการรักษาโรคลมชัก
เมื่อเรามีอาการของไมเกรน ควรสังเกตตัวเองว่าสิ่งใดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ แล้วควรหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเหล่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการ สำหรับการใช้ยาในการรักษา และ ป้องกันนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เอง หรือ ตามคำแนะนำของคนอื่น เพราะอาจเกิดอันตรายได้หากใช้ยาไม่ถูกต้องเหมาะสม
|